Au Hasard Balthazar (1966)

เมื่อคนเสื่อมศรัทธาในศาสนา ลาคือผู้ประเสริฐ

หากโรแบร์ เบรสซง คือพระผู้มาโปรดวงการภาพยนตร์โลกในช่วงค.ศ. 1940-1980 Au Hasard Balthazar คงจะเป็นบทสวดที่รวดร้าวแสนสาหัสทว่าหมดจดงดงามในตัวของมันเอง นี่คือผลงานที่ได้เรียกได้ว่าทรงอิทธิพลและสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อประวัติศาสตร์ภาพยนตร์โลก ติดอันดับ 16 ภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาลจากการจัดอันดับโดยนิตยสาร Sight & Sound เป็นหนังเรื่องโปรดของผู้กำกับเจ้าของรางวัลปาล์มทองคำสองสมัยอย่างมิคาเอล ฮาเนเก (The White Ribbon, Amour) แต่หากจะหานิยามอันเรียบง่ายที่อธิบายใจความสำคัญของผลงานชิ้นนี้ได้อย่างกระจ่างชัด คงจะต้องย้อนไปเมื่อครั้งที่ฌ็อง-ลุก โกดาร์ ตำนานผู้กำกับแห่ง French New Wave ให้นิยามว่าหนังเรื่องนี้คือ ‘โลกทั้งใบในเวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่ง’

เพราะหากพินิจพิเคราะห์ให้ถี่ถ้วน Au Hasard Balthazar คือหนังที่ว่าด้วยการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เจ็บปวด และดับไปของสรรพสิ่ง บอกเล่าผ่านชีวิตแสนอาภัพของเจ้าลานามว่า บัลธาซาร์ ตั้งแต่ยังเป็นลาวัยเยาว์จนกระทั่งเติบใหญ่และถูกหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านเจ้าของมากหน้าหลายตา จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายในชีวิตของมัน ส่วนที่งดงามเหลือเกิน คือวิธีการที่เบรสซงตัดสลับเรื่องราวของบัลธาซาร์กับชีวิตอันชอกช้ำของมารี (แอนน์ เวียเซมสกี) หญิงสาวที่อาศัยอยู่กับครอบครัว ณ ฟาร์มแห่งหนึ่งในเขตชนบทของฝรั่งเศส มารีและบัลธาซาร์บังเอิญมาพบกันครั้งแรกเมื่อครอบครัวเจ้าของฟาร์มที่เธออาศัยอยู่นำเจ้าลาน้อยมารับเลี้ยง ฉากหนึ่งที่ชวนให้คนดูเข้าไปถอดความ คือ ตอนที่มารีและลูก ๆ ของเจ้าของฟาร์มทำพิธีชำระบาปให้แก่เจ้าลาน้อย จนกระทั่งรู้ตัวอีกที โชคชะตาได้พัดพาให้เจ้าของฟาร์มต้องย้ายถิ่นที่อยู่ ทิ้งเจ้าลาบัลธาซาร์ให้อยู่ในความครอบครองของมารี

การตีความที่ถูกอ้างอิงกันอย่างแพร่หลาย (ซึ่งผู้เขียนมองว่าหละหลวมไปเสียหน่อย) ว่ากันบนพื้นฐานของความเป็นคาทอลิกเข้มข้นของเบรสซง จนนำไปสู่การเทียบเคียงบัลธาซาร์เป็นดั่งพระผู้เป็นเจ้า ขณะที่มารี คือ ตัวแทนของพระแม่มารีผู้บริสุทธิ์ผุดผ่อง เจ้าของบัลธาซาร์ทั้ง 7 คนที่กระทำอย่างโหดเหี้ยม ทั้งทุบตี กรีดแทง ล้อเลียน จุดไฟเผา และท้ายที่สุด ยิง คือภาพจำลองของบาป 7 ประการอันเป็นความผิดบาปที่มิอาจให้อภัยตามความเชื่อของคริสต์ศาสนา สองฉากที่สลักสำคัญจริง ๆ ที่ยืนยันความเป็นกวีชั้นยอดของเบรสซง คือภาพที่มารีสวมมงกุฎดอกไม้ให้แก่บัลธาซาร์ เชื้อเชิญให้หวนนึกถึงมงกุฎหนามที่ถูกวางลงบนศีรษะของพระเยซูคริสต์ขณะที่พระองค์ถูกตรึงบนไม้กางเขน และในวาระสุดท้ายของบัลธาซาร์ ในห้วงเวลาที่มันถูกห้อมล้อมด้วยฝูงแกะ ก็ดูจะแฝงนัยยะไปยังช่วงเวลาแห่งการชำระบาปให้แก่เจ้านายผู้โหดเหี้ยมทั้งหลายของมัน ในทำนองเดียวกับที่พระเยซูคริสต์แลกชีวิตของพระองค์เพื่อไถ่โทษให้แก่มนุษย์ผู้ผิดบาป

ทว่าคำถามที่สำคัญจริง ๆ คือ ทั้งหลายแหล่เหล่านี้นำไปสู่อะไร สิ่งที่เบรสซงต้องการจะสื่อคืออะไรกันแน่? เพราะใครที่คุ้นเคยกับงานของเบรสซงคงจะทราบดีถึงเอกลักษณ์ในการมอบบทสรุปอันอับจนหนทางให้แก่ตัวละครของเขา (ซึ่งถ้าว่ากันให้ยืดยาวอาจจะต้องย้อนไปถึงประสบการณ์ในอดีตที่บ่มเพาะให้เขาเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย ทั้งความอัตคัดขัดสนในวัยเด็กและการถูกจองจำในฐานะเชลยศึกในช่วงสงครามโลก) แง่หนึ่ง การวิเคราะห์ถอดความว่า Au Hasard Balthazar เป็นเพียงเรื่องราวของลาผู้ประเสริฐที่ลงมาไถ่บาปให้มนุษย์ก่อนจะกลับคืนสู่สรวงสวรรค์ไปจึงดูจะขาดตกบกพร่องไปเสียหน่อย เพราะสิ่งที่เบรสซงดูจะสนใจจริง ๆ คือการตั้งคำถามต่อความศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้า กระทั่งความศักดิ์สิทธิ์และหลักคำสอนของคริสต์ศาสนา

เพราะหากสังเกตให้ตระหนี่ถี่ถ้วน บรรยากาศชนบทไกลปืนเที่ยงใน Au Hasard Balthazar นั้นกำลังอยู่ในภาวะที่ถูกรุกคืบโดยโลกแห่งวัตถุนิยม หนังฉายให้เห็นภาพวัตถุซึ่งเป็นภาพสะท้อนของเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่กำลังรุกคืบอย่างหนักหน่วง อย่างภาพของเครื่องประดับ ของเล่น วิทยุทรานซิสเตอร์ สายโทรเลข รถยนตร์ มอเตอร์ไซค์ ปืน ไปจนถึงการจับจ้องไปยังเงินทองที่เริ่มจะ ‘ซื้อได้ทุกอย่าง’ กระทั่งจิตใจของผู้คนก็ดูจะเริ่มเสื่อมทราม ไม่เว้นแม้แต่เชราด์ อันธพาลรูปหล่อที่ในภายหลังหนังจะเผยให้เห็นว่าเขาเองก็เข้าโบสถ์ร้องเพลงอย่างเคร่งครัดไม่ต่างจากชาวคริสต์คนอื่น ๆ นัยหนึ่ง มันจึงสะท้อนให้เห็นว่าแม้แต่ผู้แสวงบุญที่เข้าโบสถ์เป็นกิจจะลักษณะก็มีจิตใจสกปรกโสโครกได้เหมือนกัน

ฉากที่เหน็บแนมอย่างดุเดือดจริง ๆ คือฉากสั้น ๆ ที่คุณพ่อของมารีล้มป่วย บาทหลวงได้รับเชิญเข้ามายังห้องนอนเพื่อมอบบทสวดสุดท้ายให้แก่ชายชรา ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้น เขากลับหันหลังให้แก่บาทหลวงโดยไม่ต่อปากต่อคำอะไรให้มากความ นัยยะแห่งการหันหลังนั่นเองคือตอนที่เบรสซงกำลังตั้งคำถาม (หากมิใช่ท้าทาย) ความศักดิ์สิทธิ์ของคริสต์ศาสนา ก่อนที่หนังจะสลับสับเปลี่ยนจับจ้องไปยังคุณแม่ของมารี ขณะที่เธอลุกเดินออกไปนอกบ้านอธิษฐานขอพรจากพระผู้เป็นเจ้า ‘อย่าพรากเขาไปจากลูกเลย ท่านรู้ว่าลูกจะเหงาเพียงใดหากไม่มีเขา’ กล่าวจบเธอจึงเดินกลับเข้าไปในห้อง และนั่นคือตอนที่สามีของเธอจากไปอย่างไม่มีวันย้อนกลับ แม้กระทั่งการตายของบัลธาซาร์ที่ถูกห้อมล้อมด้วยฝูงแกะพร้อมเสียงกระดิ่งที่แซ่ซ้องก้องกังวานก็ดูจะเป็นการแข็งข้อต่อความเชื่อคำสอนของคริสต์ศาสนา สะท้อนความเชื่ออันหนักแน่นของเบรสซงในวันที่ศาสนาไม่อาจชำระจิตใจอันเสื่อมทรามของมนุษย์โลก เพราะไม่แน่เหมือนกันว่าบางทีเพียงการเห็นคุณค่าของสัตว์โลกและเพื่อนมนุษย์ก็น่าจะเพียงพอที่จะชำระล้างความผิดบาปทั้งหลายทั้งมวล

Grade: A

Directed by Robert Bresson
Produced by Mag Bodard
Written by Robert Bresson
Starring Anne Wiazemsky
Music by Jean Wiener
Cinematography by Ghislain Cloquet
Edited by Raymond Lamy

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s