
พูดถึงปัญหาการก้าวล่วงสิทธิร่างกายในระดับครัวเรือน ก็นึกไปถึง Dogtooth ของยอร์กอส ลันธิมอส ซึ่งประสบความสำเร็จในการขยับขยายขอบเขตความน่าสะพรึงกลัวของปัญหาการทารุณกรรมและการล่อลวงเยาวชนไปจนถึงขีดสุด ทั้งที่ตัวหนังเองก็อาจจะไม่ได้ถึงขั้นเจาะลึกไปถึงต้นสายปลายเหตุของความป่วยไข้ทางจิตของผู้ก่อการ ไม่ได้มอบบทสรุปหรือชี้ช่องให้เห็นหนทางในการแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม แต่หนังทำงานเป็นเหมือนมโนภาพสมมุติของผลพวงที่อาจเกิดขึ้นหากปัญหาดังกล่าวถูกปล่อยปละละเลยให้ดำเนินไปอย่างไร้แรงเสียดทาน ฟังดูแบบผิวเผิน เรื่องราวของครอบครัวหนึ่งซึ่งลูก ๆ ต่างถูกปลูกฝังโดยคำลวงหลอกจากพ่อและแม่แท้ ๆ ของพวกเขา ก็ดูจะเป็นอะไรที่มืดหม่นเกินจริง (หรืออย่างน้อยก็เกินกว่าจะจินตนาการ) แต่หลังจากได้เห็นเหตุการณ์อื้อฉาวบนอินสตาแกรมเมื่อสองสามวันก่อน ข้อสรุปที่ฉุกคิดขึ้นมาได้ คือ ความน่าสะพรึงกลัวของเรื่องราวเหล่านี้อาจไม่ได้จำกัดจำเขี่ยอยู่แต่เพียงในภาพยนตร์ แต่ปะปนอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงโดยที่เราอาจไม่รู้ตัว
นอกจากจะทำตัวเป็นกระจกสะท้อน Dogtooth ยังสวมบทบาทเป็นใบมีดที่ผ่าเปิดให้เห็นกระบวนการทำงานของภาวะชายเป็นพิษ ในวันที่มันสามารถกุมอำนาจได้อย่างเบ็ดเสร็จ เผยให้เห็นว่ามันใช้กลวิธีใดในการปลูกฝังและชักจูงเด็กผู้บริสุทธิ์ให้ตกอยู่ใต้อาณัติได้โดยไม่อาจขัดขืน จุดแรก ๆ ที่น่าสังเกตคือตัวบ้านซึ่งนอกจากจะตั้งลึกห่างจากถนนใหญ่ (นัยยะของการตัดขาดจากโลกภายนอก) ยังถูกรายล้อมด้วยกำแพงสวนแนวตั้งที่ปกคลุมสูงจนไม่อาจชะเง้อมองเห็นสิ่งที่อยู่เลื่อนพ้นเขตกำแพงออกไป ตัวบ้านถูกตกแต่งในโทนสีขาวสะอาดสะอ้าน เช่นเดียวกับเครื่องแต่งกายของลูกชายและลูกสาวทั้งสอง ตัดเฉือนกับสีเขียวอ่อนของสนามหญ้าภายนอก ชวนให้สัมผัสได้ถึงสภาวะของความเป็นพิษซึ่งหล่อเลี้ยงทุกชีวิตในบ้านหลังนี้โดยที่พวกเขาอาจไม่รู้ตัว หลายครั้งหลายคราที่หนังจงใจจัดวางตัวละครให้อยู่เบื้องหน้าต่อกำแพงกระจกซึ่งถูกตีช่องตารางจนให้ความรู้สึกราวกับพวกเขาเหล่านี้กำลังถูกกักขัง หนึ่งในหลายเรื่องเล่าประโลมโลกซึ่งพ่อบังเกิดเกล้ากุขึ้นมา คือ การก้าวล้ำเส้นประตูทางเข้าบ้านนั้นอาจต้องแลกมาด้วยชีวิต เพราะโลกภายนอกนั้นเต็มไปด้วยภัยอันตราย โดยเฉพาะจากสัตว์ร้ายอย่าง ‘แมว’ ซึ่งคร่าชีวิตพี่ชายของพวกเขามาแล้ว

แต่กลเม็ดที่นับได้ว่าเด็ดพรายที่สุด คือ การที่ผู้เป็นพ่อสามารถเข้าครอบงำ ‘ภาษา’ ผ่านการมอบความหมายใหม่ให้แก่กลุ่มคำที่อาจสร้างความกระด้างกระเดื่องต่อความมั่นคงของครอบครัว อย่าง ‘ทะเล’ ที่สื่อความหมายถึงอิสรภาพ ก็ถูกแปรเปลี่ยนเป็นเก้าอี้ ‘โทรศัพท์’ ซึ่งเป็นเครื่องมือเชื่อมต่อกับโลกภายนอก ก็ถูกใช้เรียกแทนเกลือ ‘Pussy’ ที่แฝงนัยยะถึงตัณหาราคะด้วยตัวของมันเอง ก็ถูกแปรความหมายเป็นสวิตช์ไฟ “เมื่อมันถูกปิดลง ทั้งห้องจะถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด” แม่อธิบายให้ลูก ๆ ของเธอฟังในช่วงหนึ่ง แต่กระนั้น ก็ไม่ใช่เพียงแต่วัจนภาษาเท่านั้นที่ถูกเข้าครอบงำโดยสมบูรณ์ แต่รวมถึงอวัจนภาษาที่ถูกบิดพริ้วจนไม่เหลือเคร้าโครงความหมายเดิม อย่าง การเลีย ซึ่งเด็กสาวเรียนรู้ผ่านคริสตินา (หญิงสาวที่พ่อจ้างมาให้มีเซ็กส์กับลูกชายอย่างสม่ำเสมอ) ว่าหมายถึงการอ้อนวอน คล้ายกับพฤติกรรมสุนัขที่จะมาเล้าเลียเจ้านายเมื่อต้องการอะไรบางอย่าง หรืออีกข้อสังเกตที่น่าสนใจคือ การเต้นรำ ในฉากที่พ่อเสนอให้ทั้งครอบครัวร่วมเฉลิมฉลองในวันครบรอบแต่งงานของเขาและแม่ การเต้นใน Dogtooth ไม่ได้ถูกนำเสนออย่างสละสลวยสวยงามเพื่อสื่อความหมายเชิงบวกอย่างที่มันเคยเป็น และควรจะเป็น แต่เต็มไปด้วยความแข็งกระด้างอย่างพิศดาร จนถึงจุดที่มันพร้อมระเบิดออกอย่างไร้ทิศทาง

หรือแม้กระทั่งเซ็กส์ ก็ไม่ได้ถูกมอบความหมายในฐานะกิจกรรมที่มนุษย์ใช้แสดงความรัก หรือกระทั่งความใคร่ เพราะใน Dogtooth การร่วมเพศนั้นหาได้เกิดขึ้นบนพื้นฐานของความโหยหาตามที่ปัจเจกหนึ่งพึงจะมี แต่อยู่ในสถานะของข้อปฏิบัติที่พวกเขาต้องพึงกระทำโดยไม่อาจขัดฝืน (แม้ว่ามันจะเลยเถิดถึงขั้นกลายเป็นการร่วมเพศระหว่างสายเลือดก็ตาม) มันจึงทั้งดูประดักประเดิด วิตถาร และแห้งแล้งอย่างไร้อารมณ์ ว่าไปแล้ว นั่นก็เป็นอีกหนึ่งในหลายกลวิธีที่พ่อในฐานะตัวแทนของความเป็นอำนาจนิยมใช้เพื่อหล่อเลี้ยง (และในขณะเดียวกัน กดทับ) ตัณหาราคะของบุตรชาย เพื่อที่ในที่สุดแล้วเขาจะได้ขาดตกซึ่งแรงปราถนาที่อาจนำไปสู่การลุกขึ้นมาแข็งข้อต่ออำนาจ แต่ก็อย่างที่หนังขีดเส้นใต้ให้เห็นกันชัด ๆ ผ่านตัวละครคริสตินานั่นแหละ พร้อม ๆ กันนั้น Dogtooth ก็ดูจะตั้งแง่กับความเป็นไปได้ที่ครอบครัวหนึ่ง ๆ ในฐานะหน่วยย่อยของสังคมจะสามารถปฏิเสธการมีปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอกได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
อีกตัวละครที่ถึงแม้จะไม่ถูกตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนแต่ก็สลักสำคัญต่อความสำเร็จของกระบวนการริดรอนสิทธิเสรีภาพดังกล่าว คือ แม่ ซึ่งหนังชี้ชัดให้เห็นว่าภาวะสมยอมของตัวละครนี้เองที่เอื้อเฟื้อให้การกดขี่ภายในครอบครัวเกิดขึ้นได้อย่างสำเร็จลุล่วง และถึงแม้ทั้งพ่อและแม่จะถูกวาดภาพออกมาราวกับเป็นวายร้ายโรคจิต Dogtooth ก็ไม่ลืมที่จะยอกย้อนเรื่องน่าสะอิดสะเอียนทั้งหลายทั้งมวลด้วยคำตอบว่า มันล้วนแต่ตั้งอยู่บนความเป็นห่วงเป็นใย และเป็นส่วนหนึ่งของ ‘การแสดงความรัก’ กล่าวอย่างถึงที่สุด นอกจากหนังจะย้ำเตือนให้เห็นว่าภาพภายนอกของครอบครัวที่ทั้งดูอบอุ่นและสุขสันต์นั้นพร้อมจะกลายเป็นสิ่งลวงตาได้อย่างไม่คาดคิดเพียงใด ยังประพฤติตัวเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ชั้นดีที่บ่งชี้ให้เห็นว่า บางครั้งคนที่อันตรายที่สุด ก็มาในรูปแบบของคนในครอบครัว