
ในมุมมองหนึ่ง Asako I & II คงเปรียบได้กับหนังสยองขวัญ เพียงแต่ความสยดสยองในที่นี้ไม่ใช่เรื่องราวของภูตผี วิญญาณร้าย หรือแม้แต่ความตาย แต่เป็นรักครั้งเก่าที่ยังคงตามหลอกหลอน ยังคงติดอยู่ในภาพฝันและความทรงจำ เป็นรักที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร เธอก็ไม่อาจลืม
มันเป็นรักแรกพบระหว่างอาสะโกะ (เอริกะ คาระตะ) กับบากุ (มาสะฮิโระ ฮิงาชิเดะ) ทั้งสองพบกันอย่างฉาบฉวยและผิวเผิน ทว่าความลุ่มหลงที่ก่อตัวขึ้นอย่างฉับพลันทำงานราวกับเป็นแม่เหล็กดึงดูดทั้งคู่เข้าหากัน หลังจากคบหาดูใจกันได้ไม่นาน อาสะโกะตัดสินใจไปค้างคืนที่บ้านของบากุ ทว่าเมื่อตื่นขึ้น เขากลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย มีเพียงคำอธิบายจากเพื่อนหนุ่มของบากุว่าเขามักจะหายตัวไปอย่างลึกลับเช่นนี้อยู่บ่อย ๆ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่เกิดตามหลังการล้มป่วยของพ่อของเขา เมื่อบากุปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เขาให้คำมั่นสัญญากับอาสะโกะว่าเขาจะกลับมาหาเธอเสมอ ทว่าจนแล้วจนรอด เขาก็หายตัวไปอีกครั้งโดยไม่มีทีท่าว่าจะย้อนกลับมา รู้ตัวอีกทีเวลาก็ล่วงเลย เพื่อนวัยเด็กต่างแยกย้ายไปมีชีวิตของตนเอง อาสะโกะโยกย้ายสัมโนครัวจากโอซากาไปทำงานเป็นพนักงานร้านกาแฟอยู่ในโตเกียว ที่ซึ่งวันดีคืนร้าย โชคชะตานำพาให้เธอมาพบกับ เรียวเฮ (มาสะฮิโระ ฮิงาชิเดะ) ชายหนุ่มที่หน้าตาเหมือนกับบากุ ราวกับเป็นคน ๆ เดียวกัน
ตัวละครที่ใช้ชีวิตอยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์และเปี่ยมไปด้วยความลึกลับน่าค้นหาอย่าง บากุ ว่าไปแล้วก็เป็นภาพแทนของความรักวัยเยาว์อันฉาบฉวย ทว่าพุ่งพล่านไปด้วยแรงปราถนาที่ไม่ว่าคำตักเตือนจากเพื่อนคนสนิทหรือจิตสำนึกการรับรู้ผิดชอบชั่วดีก็มิอาจขัดฝืน มันเป็นสัญลักษณ์ของรักครั้งแรกที่ไม่ว่าจะเกิดขึ้นและจบลงอย่างหุนหันพลันแล่นเพียงใด ก็ยากที่จะลบเลือนออกไปจากความทรงจำ ขณะที่อีกด้านหนึ่ง เรียวเฮ ชายหนุ่มผู้สุขุมรอบคอบ ขยันขันแข็งและรู้จักเอาใจใส่ เปรียบได้กับภาพแทนของความรักของคนวัยทำงานที่อาจจะไม่ได้ขับเร้าด้วยความเร่าร้อน แต่แทนที่ด้วยความอบอุ่น มั่นคง และปลอดภัย เมื่อกล่าวเช่นนั้นแล้ว Asako I & II ก็ดูจะตั้งคำถามกับเราคนดูว่ามันเป็นไปได้จริงหรือ ที่จะรื้อถอนทำลายตัวตนและผู้คนในอดีต เพื่อก้าวข้ามผ่านไปยังอนาคตที่มองเห็นได้ชัดและจับต้องได้
อีกด้านหนึ่งอาจกล่าวได้ว่า Asako I & II คือเรื่องราวของตัวตน และความกลัวที่จะสูญเสียตัวตนนั้นไป ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่หนังอ้างอิงชื่อของอาสะโกะเป็นชื่อเรื่อง ทั้ง ๆ ที่ข้อเท็จจริงซึ่งปรากฏให้เห็นอยู่โทนโท่ คือ บากุ หรือ เรียวเฮ ต่างหากที่เป็นเงาสะท้อนซึ่งกันและกัน หาใช่อาสะโกะ แต่ส่วนที่หนังดูจะตั้งคำถาม คือ ความสามารถที่จะหลงลืมหรือก้าวข้ามผ่าน ตัวตน ความรู้สึก ความทรงจำในอดีตของตนเองของอาสะโกะต่างหาก กล่าวให้ชัดค่อยชัดคำ ถึงแม้ในเชิงกายภาพเราคนดูจะรับรู้ถึงการมีอยู่ของอาสะโกะในฐานะตัวละครหนึ่งเดียว แต่เมื่อพินิจพิเคราะห์อย่างถี่ล้วน หนังแนะนำให้เรารู้จักกับอาสะโกะคนที่หนึ่ง ซึ่งตกหลุมรักอย่างหัวปักหัวปำกับบากุ และอาสะโกะคนที่สอง ซึ่งกำลังพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะรักษาไว้ซึ่งความรักอันสวยงามของเรียวเฮ มันจึงเปรียบได้กับการฉายภาพความระส่ำระสายทางจิตวิญญาณ เมื่ออาสะโกะไม่อาจก้าวพ้นอดีตของตัวเอง และเมื่อทั้งสองตัวตนไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ในร่างเดียว อาสะโกะคนใดคนหนึ่งจึงจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่จะต้องถูกทำให้สลายหายไป

มันนำมาสู่ฉากสุดสะพรึงที่สลักสำคัญอย่างยิ่งยวดในตอนที่อาสะโกะไปยืนหมิ่นเหม่อยู่บนริมขอบเหว เหม่อมองออกไปยังท้องทะเลที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา เสียงคลื่นที่กระทบฝั่งครั้งแล้วครั้งเล่าถูกใช้โหมกระหน่ำโสตประสาทการรับรู้ของคนดู พร้อม ๆ กับสายตาของอาสะโกะที่จ้องเหม็งตรงอกมาจากจอภาพ มันเป็นฉากสั้น ๆ ที่ไม่เพียงน่าขนลุกขนพองเพราะมันแสดงให้เห็นถึงช่วงเวลาอันเปลือยเปล่าของหญิงสาวที่เพิ่งสูญเสียสิ่งที่เธอรักหวงแหนมาก ๆ ในชีวิตไป แต่สำเร็จเด็ดขาดในการส่งสารนั้นทอดตรงจากจิตวิญญาณอันเปราะบางของอาสะโกะมายังคนดู บางที นั่นอาจจะเป็นช่วงเวลาที่อาสะโกะคนใดคนหนึ่งกระโดดลงหน้าผาไปแล้วในตอนนั้น ถึงตรงนี้ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงหนังชั้นครูอย่าง L’Avventura ของมิเกลันโจเล แอนโตนิโอนี ซึ่งมีจุดร่วมกันคือการอันตรธานหายไปของตัวละครซึ่งทำทีท่าว่าจะเป็นจุดสนใจสำคัญของหนัง และเป็นการหายไปนั้นเองที่เปิดโอกาสให้คนดูได้เข้าไปสำรวจความเป็นไปได้อีกร้อยแปดพันเก้าซึ่งซุกซ่อนอยู่ในความซ้ำซากจำเจของหนังฌอง (Genre)
อีกข้อที่น่าสังเกตคือความลุ่มหลงของริวสุเกะ ฮามากุจิ ต่อมนต์สเน่ห์ของการแสดง (อย่างที่เคยเห็นใน Happy Hour และคาดว่าจะได้เห็นอีกครั้งใน Drive My Car) ซึ่งในแง่หนึ่งก็แฝงความหมายของการที่คน ๆ หนึ่งสามารถสวมทับบทบาท ตัวตน กระทั่งความคิดความอ่านของคนอื่น สภาวะของการเสแสร้งกลายเป็นอื่นนี้ถูกเล่าผ่านเรื่องราวขนาดย่อมของมายะ (ริโอะ ยามาชิตะ) เพื่อนสาวของอาสะโกะ อย่างช่วงหนึ่งที่เธอถูกเพื่อนหนุ่มของเรียวเฮติเตียนอย่างไม่ไว้หน้าว่าการแสดงของเธอนั้นไม่ได้เรื่องได้ราว อาสะโกะจึงโผปกป้องเพื่อนสาวด้วยการยืนยันว่าการแสดงอันแสนธรรมดานั้นเพียงพอแล้วที่จะทำให้เธอประทับใจ โมเมนต์กระอักกระอ่วนเช่นนี้ในแง่หนึ่งก็สะท้อนความจริงที่ว่า อาสะโกะดูจะโอบรับความลื่นไหลของตัวตน แต่จนแล้วจนรอด มันก็หวนกลับมาตั้งคำถามกับเธอจนได้ว่าสุดแน่แท้จริงแล้ว เธอสามารถยอมรับความเหมือนแต่เพียงเปลือกนอกโดยที่เนื้อในนั้นแตกต่างกันสุดขั้วได้จริงหรือ เมื่อถึงจุดหนึ่งเธอพบว่าตัวเองกำลังติดหล่มอยู่ในหลุมดำของความสัมพันธ์ที่ด้านหนึ่งคือแรงดึงดูดจากรักแรกซึ่งยังคงฝังใจ และอีกด้านหนึ่งคือแรงโน้มถ่วงจากคนที่รักเธอสุดหัวใจอย่างไม่มีข้อแม้
ไม่ว่ามันจะจบลงอย่างไร ส่วนที่พูดได้ว่ายอดเยี่ยมและเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้สตอรี่อันแปลกประหลาดเหล่านี้ทำงานได้อย่างคล่องแคล่ว คือการที่คนทำหนังสามารถผสมกลมเกลียวความมหัศจรรย์พันธุ์ลึกต่าง ๆ เข้ากับเหตุการณ์ที่วางตั้งอยู่บนความธรรมดาสามัญ อย่างการหยิบจับเอาองค์ประกอบของหนังด็อพเพิลเกงเกอร์มาผนวกรวบรวมเข้ากับเรื่องราวความสัมพันธ์และการหวนทบทวนอดีต กล่าวอย่างถึงที่สุด ใน Asako I & II ริวสุเกะ ฮามากุจิชวนให้คนดูเข้าไปสำรวจเรื่องราวของการก้าวข้ามผ่านอดีต ความทรงจำ ตัวตน ที่ยังคงตามหลอกหลอนราวกับวิญญาณอาฆาตแค้น สิ่งที่ยังคงเหลืออยู่หลังจากหนังจบลง คือบทเรียนของการเยียวยารักษา เมื่อรักครั้งเก่ายังคงทิ้งบาดแผลให้เห็นเด่นชัด หนทางเดียวที่จะสมานบาดแผลนั้นให้เชื่อมติดกันสนิทแนบชิด คงเป็นการกล้าที่จะกลับไปเผชิญหน้ากับมันอีกครั้ง และมันต้องเริ่มจากการแกะเปิดผ้าก๊อซที่พันแผลนั้นไว้อย่างแน่นหนาออกเสียก่อน
Grade: A
Directed by Ryūsuke Hamaguchi
Written by Ryūsuke Hamaguchi, Sachiko Tanaka
Starring Masahiro Higashide, Erika Karata
Cinematography by Yasuyuki Sasaki
Edited by Azusa Yamazaki
Music by Tofubeats