‘มิซากิ วาตาริ’ ความทรงจำที่ซ่อนอยู่หลังพวงมาลัยใน Drive My Car

บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์

เป็นเวลากว่าสองปีหลังจากสูญเสียภรรยาไปอย่างไม่ทันระวังตั้งตัว ยูสุเกะ (ฮิเดโตชิ นิชิจิมะ) ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในรถ Saab-900 Turbo สีแดงที่มีเพียงตัวเขานั่งกุมบังเหียนอยู่หลังพวงมาลัย ความเงียบภายในรถมักถูกคลอเคล้าด้วยเสียงภรรยาผู้ล่วงลับที่คอยสนทนาตอบโต้จากเทปบันทึกที่เธอทิ้งไว้ให้เขาราวกับเป็นของขวัญชิ้นสุดท้าย แต่ข้อน่าสังเกตคือการที่หนังวาดภาพยูสุเกะ ไม่ใช่ในฐานะสามีผู้กำลังตรอมตรมอมทุกข์อยู่กับความทรงจำในอดีต แต่เป็นในฐานะคนที่สำเร็จลุล่วงในการชำระความขุ่นหมองในวันวาน จนสามารถเรียนรู้ที่จะอยู่กับปัจจุบันได้อย่างไม่ทุกข์ร้อน โดยผิวเผิน มันดูจะเป็นผลพวงจากสองกลไกสำคัญซึ่งเขาหยิบยกมาใช้เพื่อป้องกันตนเอง หนึ่งคือพื้นที่อันคับแคบของรถ Saab ที่ปิดกั้นตัวเขาจากโลกภายนอก อีกหนึ่งคือเสียงของภรรยาจากเทปบันทึกที่เปิดโอกาสให้เขาได้ละทิ้งตัวตนเดิม (และความทรงจำหรืออะไรก็ตามที่ติดอยู่กับตัวตนนั้น) เพื่อ ‘กลายเป็น’ ตัวตนอื่น ซึ่งในที่นี้ก็คือ ‘คุณลุงวานยา’

ในแง่นั้น การมาของ มิซากิ วาตาริ (โทโกะ มิอุระ) ในฐานะคนขับรถจึงไม่เพียงสั่นคลอนความเงียบงันในห้องโดยสารและสถานะ ‘ผู้กุมบังเหียน’ ของยูสุเกะ แต่ทำลายสถานะซึ่งเปราะบางอย่างยิ่งยวดอยู่เดิม ฉากแรก ๆ ที่ปรากฏขึ้นหลังจากหนังแนะนำให้เราคนดูได้รู้จักกับมิซากิ วาตาริ ในฐานะคนขับรถที่เทศกาลละครเวทีมอบหมายให้มาช่วยเหลือยูสุเกะ คือภาพมุมสูงจากระยะไกลที่เผยให้เห็นรถ Saab สีแดงกำลังพุ่งทะยานด้วยความเร็วคงที่อยู่บนสะพานขนาดใหญ่ยักษ์ที่ทอดยาวผ่านแม่น้ำ สะพานนี้ นอกจากจะทำหน้าที่เชื่อมเกาะเล็กเกาะน้อยของเมืองฮิโรชิม่าเข้าด้วยกัน ยังแฝงความหมายของ ‘การเดินทาง’ หรืออีกนัยยะหนึ่งของการเดินทาง ก็คือ ‘การก้าวข้ามผ่าน’ และเมื่อกล่าวเช่นนั้น มิซากิ จึงเปรียบเปรยได้กับหญิงสาวที่จะมาช่วยโอบอุ้มยูสุเกะให้สามารถเติบโตผ่านพ้นความเจ็บปวดในอดีตได้เสียที

จุดร่วมในตัวมิซากิ ซึ่งสอดคล้องไปในทางเดียวกันทั้งเรื่องสั้นของฮารุกิ มุราคามิ และบทภาพยนตร์ของริวสุเกะ ฮามากุจิ คือการที่เธอถูกวาดภาพให้เป็นหญิงสาวผู้เปี่ยมไปด้วยความลึกลับอันเป็นปริศนา สีหน้าไร้อารมณ์ ท่าทีนิ่งเฉย น้ำเสียงอันราบเรียบ ตลอดจนแผลเป็นขนาดใหญ่บนใบหน้าของเธอห่อหุ้มเรื่องราวความทรงจำในอดีตที่ยังไม่ถูกชำระสะสาง ไม่อาจย้อนเวลากลับไปแก้ไข ไม่สามารถลบเลือน ว่าไปแล้ว มิซากิก็เหมือนกับยูสุเกะ ในแง่ที่พวกเขาทั้งคู่ต่างโอบพันความเจ็บปวดในอดีตไว้อย่างแน่นหนาและมิดชิด ทว่าไม่ใช่ด้วยการเสแสร้งกลายเป็นอื่นอย่างที่ยูสุเกะถนัดช่ำชองในฐานะนักแสดง แต่มิซากิเรียนรู้ที่จะใช้ความเงียบงันเป็นเกราะป้องกันตัวเองจากความทุกข์ทรมานทั้งหลายทั้งมวล แต่ส่วนที่แยบยลคือการที่ฮามากุจิเลือกจะขุดคุ้ยไปยังเรื่องราวความหลังดังกล่าว และอย่างช้า ๆ สิ่งที่ถูกซุกไว้ใต้พรมอย่างมิดชิดจึงค่อย ๆ สำแดงตัวตนออกมา

ฉากหนึ่งที่งดงามคือตอนที่มิซากิพายูสุเกะไปยังโรงงานเผาขยะของเมืองฮิโรชิมา หนังกางเผยให้เห็นภาพที่ขยะปริมาณมหาศาลที่ถูกขุดคุ้นขึ้นมาเตรียมการสำหรับเผาทำลาย “สะพานนี้ทอดยาวไปจนถึงทะเล” เธอกล่าวเปรยขณะพาชายหนุ่มเดินเยี่ยมชมโรงงานขนาดใหญ่ มันเป็นฉากที่บ่งชี้ถึงร่องรอยการมีอยู่ของซากหักพังในอดีต เมื่อชายหนุ่มหญิงสาวเหม่อมองออกไปยังกองมูลขยะราวกับมันเป็นภาพสะท้อนของสิ่งที่พวกเขาแอบซ่อนเอาไว้หลังใบหน้านิ่งเฉยของตัวเอง บางทีมิซากิก็อาจกำลังโหยหาหนทางที่จะเผาทำลายความรวดร้าวในอดีตของเธออยู่เหมือนกัน และโดยไม่รีบร้อน ความเงียบงันจึงค่อย ๆ ทำหน้าที่ของมันในการหลอมรวมความแปลกแยกและเป็นอื่นในพื้นที่อันคับแคบของรถ Saab แปรเปลี่ยนมันเป็นบทสนทนาที่ค่อย ๆ นำพวกเขาหวนกลับไปสู่อดีตอันขมขื่น เพื่อชำระสะสางมันให้เสร็จสิ้นเสียที

อาจกล่าวได้ว่าการที่ยูสุเกะอนุญาตให้มิซากิมาเป็นสารถีส่วนตัวของเขา แง่หนึ่งก็เปรียบได้กับการยื่นใบอนุญาตให้เธอเข้ามาบังคับควบคุมพื้นที่ปลอดภัยอันเป็นที่หวงแหนของเขา ในระยะแรก ระหว่างที่ยูสุเกะออกไปทำหน้าที่ฝึกซ้อมนักแสดง ซึ่งกว่าจะเสร็จสิ้นก็มักดึกดื่นไปแล้ว มิซากิจึงมักจะต้องนั่งคอยอยู่ลำพังท่ามกลางความเหน็บหนาว มีเพียงหนังสือเล่มเล็กและความอบอุ่นจากมวนบุหรี่ จนกระทั่งเมื่อความไว้เนื้อเชื่อใจก่อตัวแทนที่ความแปลกแยกระหว่างคนแปลกหน้าทั้งสอง ยูสุเกะจึงตัดสินใจอนุญาตให้เธอเข้าไปนั่งรอในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของเขา ด้วยข้อแม้เดียว คือ “ห้ามสูบบุหรี่ภายในรถ” มันจึงนำมาสู่ฉากที่เขาและเธอยื่นบุหรี่ออกไปนอกตัวรถหลังจากเปิดเปลือยความในใจกันอย่างหมดเปลือก ซึ่งเป็นภาพที่งดงามไม่เพียงเพราะมันเป็นสุนทรียที่ถูกออกแบบมาอย่างวิจิตรบรรจง แต่เพราะมันมาในช่วงเวลาที่เหมาะสม ในตอนที่ความสัมพันธ์ของคนแปลกหน้าทั้งสองกำลังสุกงอมได้ที่ ทำให้มันแฝงความหมายใหม่ของความโหยหาที่จะหลุดพ้นออกไปจากกรงกรรมที่กักขังพวกเขาอยู่ แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ไม่ได้มุ่งทำลายหรือรื้นถอนสิ่งพันธกานต์เหล่านี้ ทว่าเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับมันอย่างโอนอ่อนผ่อนปรน

ในทำนองเดียวกันกับที่ยูสุเกะโอบรับเธอเข้าไปในพื้นที่ส่วนตัวของเขา มิซากิจึงยินยอมพายูสุเกะไปเยี่ยมชมอดีตของเธอที่ฮอกไกโด อันเป็นสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยเรื่องราวความหลังของแม่ผู้ทิ้งบาดแผลในจิตใจจนปรากฏเด่นชัดอยู่บนใบหน้าของเธอ หนังไม่ได้อธิบายโดยชัด แต่คาดการณ์ได้ไม่ยากว่าเขาคือคนแรกและคนเดียวที่เธอยินยอมมอบสิทธิอันชอบธรรมในการก้าวล่วงเข้ามาในพื้นที่ต้องห้ามนี้ และที่นั่น มิซากินำมวนบุหรี่ที่เธอสูบปักลงไปบนซากปรักหักพังที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นบ้านและปัจจุบันกลายเป็นหลุมฝังศพของแม่เธอ ในแง่นั้น เศษซากนี้จึงเปรียบได้กับรถ Saab-900 turbo สีแดงของยูสุเกะ และบุหรี่นี้ก็คือบุหรี่มวนเดียวกับที่ปลดแอกเธอและเขาให้พ้นจากความระทมอมทุกข์ที่ตามหลอกหลอนมาเนิ่นนาน ณ วินาทีนั้น เขาและเธอต่างได้พบกับอิสรภาพทางจิตวิญญาณ


Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s