
หากการรับชม Drive My Car เปรียบได้กับการนั่งอยู่บนรถที่พุ่งทะยานไปข้างหน้าโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย การรับชม Wheel of Fortune and Fantasy ผลงานรวมสามหนังสั้นของริวสุเกะ ฮามากุจิ ที่กำลังเข้าฉายใน Japanese Film Festival คงเปรียบได้กับการพิงเบาะเอนหลังบนรถที่เคลื่อนตัวอย่างไม่เร่งเร้าอยู่ในระแวกชุมชนที่เราคุ้นเคย ขณะที่หนังมุ่งพาเราคนดูออกไปสำรวจเหตุการณ์ใกล้ตัวที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อเชื่อวัน ผ่านสามเรื่องราวที่เชื่อมถึงกันอย่างหลวม ๆ ของกลุ่มคนผู้ถูกโชคชะตาเล่นตลก ก่อนจะเปิดเปลือยให้เห็นว่าความบังเอิญทั้งหลายแหล่ที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อมนุษย์ผู้ซึ่งเว้าแหว่งและเปรอะเปื้อนไปด้วยอดีตอันหมองหม่นเพียงใด ว่าไปแล้ว นอกจากพล็อตเรื่องราวที่โคจรอยู่รอบ ๆ ชีวิตสามัญของผู้หญิงสี่ห้าคน ด้วยจังหวะจะโคนของหนังที่ทั้งอ่อนละมุนและอ่อนไหวมาก ๆ ก็ทำให้ Wheel of Fortune and Fantasy ดูจะเป็นการหวนกลับไปยังสไตล์ดั้งเดิมที่ทำให้ชื่อของคนทำหนังชาวญี่ปุ่นแทรกซึมเข้ามาอยู่ในแวดวงสนทนาของนักดูหนัง อย่างเมื่อครั้งที่ Happy Hour (2015) ออกฉายในวงกว้าง
เมื่อพิจารณาถึงโครงสร้าง ตลอดจนวิธีการที่ฮามากุจิหยิบใช้สถานการณ์ฉุกเฉินเข้ามาเรียกร้องให้ตัวละครของเขาต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องราวที่เรามักเห็นกันในงานของครูหนังแห่ง French New Wave อย่างอีริก โรห์แมร์ (Eric Rohmer) โดยเฉพาะ Rendezvous in Paris (1995) ที่ฉายภาพเรื่องราวความรักความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในกรุงปารีสผ่านสามเรื่องสั้น ซึ่งเรื่องราวในหนังของฮามากุจิก็เริ่มต้นจากความบังเอิญเล็ก ๆ น้อย ๆ ลักษณะไม่ต่างกัน ก่อนที่เรื่องเหนือจินตนาการในตอนเริ่มต้นจะค่อย ๆ ขยายใหญ่เป็นเรื่องราวที่ซับซ้อนและคาบเกี่ยวกับเหตุการณ์อดีตอย่างพัลวัน สิ่งที่แยบยลมาก ๆ คือวิธีการที่คนทำหนังใช้บทสนทนายาวยืดในการขับเคลื่อนเรื่องราว หลายครั้ง ‘คำพูด’ ถูกใช้เป็นโล่ห์ป้องกันตัวเอง บางครั้งมันถูกใช้เป็นมีดทิ่มแทงผู้อื่น บางครั้งถูกใช้เป็นเครื่องมือเปิดเปลือยความรู้สึกที่อัดอั้น ทั้งหมดทั้งมวลอาจนำไปสู่การถกเถียงไม่รู้จบ การค้นพบตนเอง หรือกระทั่งหนทางสู่การเยียวยารักษาบาดแผลในอดีต
เช่นในกรณีของเมโกะ (โคโตเนะ ฟุรุคาวะ) หญิงสาวที่ค้นพบเรื่องบังเอิญระหว่างแชร์แท็กซี่กับสึกุมิ (ฮยอนรี) ว่าเธอและเพื่อนสาวอาจกำลังเกี่ยวพันอยู่กับผู้ชายคนเดียวกัน ช่วงเวลาดังกล่าวว่าไปแล้วก็ชวนให้นึกถึงเหตุการณ์ใน Drive My Car และตอกย้ำความหลงใหลที่คนทำหนังมีต่อการสนทนายืดยาวบนรถที่กำลังไหลเอื่อยบนท้องถนน มันเป็นทั้งสถานการณ์หยุดนิ่งที่คนสองคนไม่อาจดิ้นหนีไปไหนได้ สถานการณ์ซึ่งในกรณีเลวร้ายที่สุด อาจบีบบังคับให้ใครคนใดคนหนึ่งต้องปั้นหน้ายิ้มแย้มถึงแม้ว่าเรื่องราวที่ได้รับฟังจะทิ่มแทงอย่างสาหัสเพียงใดก็ตาม สถานการณ์ดังกล่าวบีบบังคับให้เมโกะตัดสินใจหวนกลับไปเผชิญหน้ากับคาสุ (อายุมุ นาคาจิมะ) ชายผู้เป็นทั้งรักครั้งเก่าและบาดแผลที่ยังคงสดใหม่ จนนำมาซึ่งฉากปะทะแลกเปลี่ยนบทสนทนาอันดุเดือดที่สไตล์กำกับแบบละครเวทีของฮามากุจิทำงานได้อย่างถนัดช่ำชอง และตอกย้ำถึงอิทธิพลที่เขารับมาจากจอห์น แคสซาเวตีส (John Cassavetes) อย่างมากทีเดียว

อีกสถานการณ์หนึ่งซึ่งคนทำหนังสับเปลี่ยนมาเล่าผ่านความแออัดคับแคบของห้อง ว่าด้วยเหตุการณ์ที่ นาโอะ (โมริ คัตสุกิ) วางแผนล่อลวงเซงาวะ (ชิบุคาวะ คิโยฮิโกะ) อาจารย์มหาวิทยาลัยที่ครั้งหนึ่งเคยกลั่นแกล้งซาซากิ (ไค โชอุมะ) เด็กหนุ่มที่เธอกำลังมีสัมพันธ์ลับ แผนการล่อลวงดังกล่าวเกิดขึ้นในห้องทำงานสี่เหลี่ยมซึ่งเข้าออกได้ทางเดียว โจทย์ใหญ่คือการที่นาโอะต้องหาทางปิดประตูซึ่งคู่กรณีของเธอมักเปิดกว้างไว้เสมอ จนกระทั่งเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นเมื่อแผนการที่ถูกวางไว้พลิกผันกลายเป็นการนั่งเปิดอกรื้อฟื้นความอึดอัดคับข้องของทั้งนาโอะและเซงาวะ นัยยะของการเปิดและปิดประตูดังกล่าว ถูกเล่าล้อเรียงไปกับความสับสนอลหม่านในห้วงความคิดของนาโอะที่จำต้องปิดบังเรื่องลับ ๆ ล่อ ๆ ระหว่างเธอและชู้รักจากครอบครัว ตลอดจนเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างเธอและเซงาวะในห้องทำงานของเขาก็ด้วยอีกเช่นกัน แต่ไม่ว่าอย่างไร จนถึงทึ่สุดสิ่งที่คนทำหนังดูจะอยากย้ำเตือนกับเราคนดูเหลือเกินก็คือความอ่อนเปลี้ยเพลียแรงของมนุษย์เราในยามที่ต้องต่อกรกับชะตาฟ้าลิขิต
เรื่องสุดท้าย ซึ่งเรียบง่ายและอ่อนไหวอย่างยิ่งยวด ว่าด้วยการพบปะกันโดยไม่คาดคิดของเพื่อนหญิงสองคน โมกะ (ฟุสะโกะ อุระเบะ) และนานะ (อาโอบะ คาวาอิ) ซึ่งเริ่มต้นจากช่วงเวลาเพียงเสี้ยววิที่หญิงวัยกลางคนทั้งสองสวนทางกันบนบันไดเลื่อนที่กำลังเคลื่อนขึ้นและลง ก่อนที่ความเป็นไปได้อีกร้อยแปดค่อย ๆ ถูกแผ่ขยายซึ่งหน้าอย่างช้า ๆ สัมผัสที่แผ่วเบาของคนทำหนังทำให้เหตุบังเอิญที่ดูเหลือเชื่อมาก ๆ กลายเป็นเรื่องปกติที่อาจเกิดขึ้นได้ในทุก ๆ วัน และส่วนที่เรียกได้ว่าแพรวพราวอย่างยิ่งยวด คือการที่ฮามากุจิสามารถบิดพลิ้วเอาพล็อตแสนเรียบง่ายที่ควรจะว่าด้วยการหวนกลับมาพบปะกันของเพื่อนเก่า ไปสู่การสำรวจธีมเรื่องราวที่เรามักพบเห็นเสมอในงานของเขา นั่นคือความสลับซับซ้อนของยุติความขัดแย้งกับอดีตที่ตามหลอกหลอน ผ่านการแสร้งกลายเป็นอื่น “เธอเองก็คงจะมีช่องโหว่ที่ไม่อาจเติมเต็ม” โมกะกล่าวกับนานะในช่วงหนึ่ง บางที อาจจะไม่ใช่เพียงโมกะและนานะ แต่รวมถึงเมโกะกับแฟนเก่า และนาโอะกับอาจารย์เซงาวะ เรามนุษย์ผู้เว้าแหว่งต่างเชื่อมถึงกันผ่านบาดแผลในอดีต
Grade: A-
Directed by Ryusuke Hamaguchi
Written by Ryusuke Hamaguchi
Produced by Satoshi Takata
Starring Kotone Furukawa, Ayumu Nakajima, Hyunri, Kiyohiko Shibukawa, Katsuki Mori, Shouma Kai, Fusako Urabe, Aoba Kawai
Cinematography by Yukiko Iioka