
Harmful Insect (2001) ผลงานลำดับที่สี่ของอะกิฮิโกะ ชิโอตะ เป็นหนังที่เงียบเชียบ แต่เรื่องประหลาดคือในความเงียบของมันเราคนดูกลับสามารถรับรู้ได้ว่าเด็กหนุ่มหญิงสาวซึ่งกำลังดิ้นรนเอาตัวรอดอยู่ในโลกของเขาและเธอ กำลังกรีดร้องอย่างสุดเสียง ย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่หนังเปิดตัวในเทศกาลหนังเวนิส ถือได้ว่านี่เป็นหนังที่ทำให้ชื่อของอะกิฮิโกะเริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้าง โดยเฉพาะในหมู่นักดูหนังตะวันตก รวมทั้งยังเป็นบทบาทแรก ๆ ของอาโออิ มายาซากิ (Su-ki-da, If Cats Disappeared From the World) และยู อาโออิ (All About Lily Chou Chou, Hana & Alice) สองนักแสดงที่จะขึ้นแท่นกลายเป็นดาวค้างฟ้าของวงการหนังญี่ปุ่น ตัวหนังก็นับได้ว่าได้รับเสียงตอบรับที่ดีทีเดียว แต่โชคร้ายที่ต่อมาตัวหนังได้สูญหายจนขึ้นหิ้งกลายเป็นหนึ่งในหนังหาดูยาก ในแง่นั้นก็ถือได้ว่าโชคดีจริง ๆ ที่ Japan Society Film ได้นำหนังเข้าฉายในเทศกาลหนังญี่ปุ่นในอเมริกา พร้อม ๆ กับเปิดให้ชมทางออนไลน์ด้วย
ว่าไปแล้ว เมื่อพิจารณาถึงเรื่องราวของหนัง ซึ่งว่าด้วยความระส่ำระสายทางจิตวิญญาณของเด็กวัยหนุ่มสาว นี่คงไม่ใช่ประเด็นที่ใหม่อะไรในชั้นวางหนังวัยรุ่นญี่ปุ่น ซึ่งถ้าจะให้สาวความยืดกันจริง ๆ ก็อาจจะต้องย้อนความกันไปถึงช่วงค.ศ. 1960 – 1970 ที่บรรดาผู้กำกับคลื่นลูกใหม่ของแวดวงหนังญี่ปุ่นกำลังมุ่งสำรวจพื้นที่ดำมืดซึ่งคนทำหนังยุคก่อนหน้าของพวกเขาเข้ายังไปไม่ถึง ในแง่นั้น Harmful Insect ซึ่งฉายภาพให้เห็นถึงชีวิตอันน่าอดสูของเด็กมัธยมคนหนึ่งก็ดูง่ายดายเหลือเกินที่จะจมหายเมื่อเข้าไปอยู่ในชั้นวางหนังที่แน่นขนัด แต่ส่วนที่ทำให้ผลงานของอะกิฮิโกะ ชิโอตะโดดเด่นอย่างมีเอกลักษณ์และยังคงตกเป็นเป้าตามหาของนักดูหนังอยู่เรื่อย ๆ คงเป็นการที่หนังกล้าเข้าไปสำรวจหาความงามของพื้นที่ซึ่งเต็มไปด้วยความสกปรกโสมม และไม่ได้เพียงมุ่งทำตัวเป็นกระจกสะท้อนปัญหา แต่เปิดเปลือยให้เห็นถึงกลไกที่เด็กสาวแสนธรรมดาสามัญคนหนึ่งหยิบขึ้นมาใช้ป้องกันตัวเองจากภัยอันตรายของโลกภายนอก และหากเรื่องราวของซาจิโกะ (อาโออิ มิยาซากิ) ไม่ใช่เรื่องราวที่มืดหม่นที่สุด มันก็คงจะใกล้เคียง

ให้เห็นภาพ นอกเหนือไปจากเบื้องหน้าที่ดูผิวเผินแล้วเธอเองก็เหมือน ๆ กับเด็กสาวคราวเดียวกันในห้องเรียนของเธอ ซาจิโกะอาศัยอยู่ในบ้านขนาดกระทัดรัดที่ละม้ายคล้ายกันไปหมดในระแวกนั้น ชุดยูนิฟอร์มของเธอสะอาดสะอ้าน ผมเผ้าเรียบร้อย แต่กระนั้น สีหน้าเข้มขรึมก็ไม่อาจปิดบังเรื่องหนักอึ้งที่เธอกำลังพบเจอ พ่อของเธอหนีหายไป แม่ก็เพิ่งกระทำอุกอาจด้วยการกรีดข้อมือตัวเอง ส่วนสัมพันธ์ลับ ๆ ระหว่างเธอและคุณครูก็เพิ่งถูกเปิดโปงจนกลายเป็นเรื่องคาวฉาวโฉ่ นั่นคือโจทย์ยากที่อะกิฮิโกะโยนเข้าใส่ตัวละครของเขา ทว่าส่วนที่คนทำหนังดูอยากจะเข้าไปซักไซร้ไร่เรียงหาใช่ประเด็นใหญ่โตอย่างปัญหาสังคมเชิงโครงสร้าง แต่เป็นเรื่องราวที่ทั้งเล็กน้อยและเป็นส่วนตัว อย่างโจทย์ปัญหาว่า ท้ายที่สุดแล้วซาจิโกะจะเอาตัวรอดจากปัญหาที่ประดังประเดและโลกที่ไร้ความปราณีกับเธอได้อย่างไร นั่นคือตอนที่เธอหันหลังให้กับบ้านและโรงเรียน ซึ่งสายตาเฉียบคมของอะกิฮิโกะ ชิโอตะบ่งชี้ว่ามันเป็นระบบระเบียบที่เธอไม่อาจหลอมรวมได้อย่างเป็นเนื้อเดียว โดยเฉพาะกับเพื่อนสนิทอย่างนัตสึโกะ (ยู อาโออิ) ที่เกิดและโตในครอบครัวที่ดีพอจะทำให้เธอไม่ต้องประสบชะตาเดียวกับซาจิโกะ
แต่เมื่อกล่าวเช่นนั้น ก็ใช่ว่ามันจะเป็นเรื่องของความอิจฉาริษยา กลับกัน การที่ซาจิโกะหันหน้าเข้าสู่ความเงียบงันเป็นกลไกหนึ่งที่เธอใช้สร้างเกราะหนาขึ้นมาห่อหุ้มตัวตนซึ่งแท้จริงแล้วบอบบางและกำลังบอบช้ำอย่างสาหัส คืนหนึ่ง ขณะที่เธอถูกชายแปลกหน้าสะกดรอยตาม ซาจิโกะได้รับความช่วยเหลือจากโทชิโกะ (เรียว) เด็กหนุ่มไร้บ้านที่บังเอิญเห็นเหตุการณ์เข้าพอดี และหากไม่ใช่ด้วยความเห็นอกเห็นใจจากชายหนุ่ม (ซึ่งเธอเองก็น่าจะกำลังโหยหาหลังจากสูญเสียผู้เป็นพ่อ) ก็คงด้วยความโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาที่ดึงดูดชายหนุ่มหญิงสาว ในฐานะเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายจากความบิดเบี้ยวของสังคมเข้าหากัน ถึงแม้ว่าเขาและเธอจะมาจากต่างชนชั้นฐานะก็ตาม นั่นคือตอนที่หนังประสบความสำเร็จในการหาจุดกึ่งกลางระหว่างการฉายภาพความสวยงามของเศษซากหักพังที่ใครก็อยากเบือนหน้าหนี กับการเปล่งเสียงแห่งความโกรธเคืองของผู้บริสุทธิ์ตัวเล็กตัวน้อยที่ต้องมารับกรรมในบาปที่พวกเขาไม่ได้ก่อ แล้วก็คงไม่เหนือความคาดหมายอะไรที่ท้ายที่สุดแล้วเธอจะลงเอยด้วยการเข้าไปเกี่ยวพันกับพฤติกรรมนอกคอกทั้งหลายแหล่

ฉากหนึ่งที่หมดจดงดงามทั้งในเชิงสุนทรียะและการปลดเปลื้องอารมณ์เดือดพล่านที่กำลังสุกงอมได้ที่ คือภาพที่ซาจิโกะและเพื่อนปาระเบิดขวดใส่บ้านจนเกิดกองเพลิงลุกลามใหญ่โต ซึ่งไร้ข้อกังขาว่าโอบอุ้มนัยยะของการชำระล้างความบอบช้ำซึ่งเกิดจากสถาบันครอบครัวอันล้มเหลว แต่ขณะเดียวกันก็ทำงานเชิงสัญญะถึงการปลดแอก ในทำนองว่าเธอเองก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาสถาบันอันง่อนแง่นนี้เช่นกัน แง่หนึ่งมันก็ดูง่ายดายและหมิ่นเหม่ที่จะเป็นการแก้ตัวน้ำขุ่น ๆ ให้กับพฤติกรรมนอกลู่นอกทาง แต่ส่วนที่นับว่าชาญฉลาดคือการที่หนังวกกลับมาสู่คำถามสำคัญในตอนต้น ว่า เด็กสาวที่กะปรกกะเปรี้ยทั้งในเชิงเรี่ยวแรงและพลังอำนาจอย่างซาจิโกะจะก้าวพ้นขึ้นจากหลุมฝังศพที่สังคมขุดเตรียมไว้ให้เธอได้อย่างไร
นั่นคือตอนที่โอกะตะ (เซอิจิ ทานะเบะ) คุณครูผู้มีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเธอและแอบอิงพิงแผ่อิทธิพลอยู่บนฉากหลัง ผ่านรูปแบบของตัวอักษรในจดหมายที่ทั้งสองเขียนถึงกันอย่างลับ ๆ ขยับเขยื้อนเข้ามามีบทบาทในเบื้องหน้า เรื่องยุ่งเหยิงทำท่าว่าจะคลี่คลายแต่จนแล้วจนรอด คำตอบที่ดูจะเป็นทางลัดของปัญหาทั้งหลายทั้งมวลก็ถูกตั้งคำถามอีกครั้ง “ถ้าฉันหนีหายไปในสถานที่ที่ครูไม่รู้จัก ครูจะเหงาไหม? หรือครูจะไม่รู้สึกอะไรเลย?” ซาจิโกะเขียนคำถามลงในจดหมายของเธอ บางทีหากซาจิโกะไม่ได้ออกไปใช้ชีวิต ออกไปลองผิดลองถูกและใช้อำนาจอันน้อยนิดของเธอขบถต่อระบบ มันคงง่ายดายเหลือเกินที่เธอจะบอกให้ชายแปลกหน้าคนนั้นหยุดรถและหันหลังกลับไป
Grade: A-
Directed by Akihiko Shiota
Written by Yayoi Kiyono
Starring Aoi Miyazaki, Seiichi Tanabe
Cinematography by Tokusho Kikumura
Edited by Yoshio Sugano