Tag Archives: Celine Sciamma

PETITE MAMAN (2021) – เมื่ออดีตสวมทับปัจจุบัน จินตนาการเพ้อฝันจึงกลายเป็นความจริง

จากสระว่ายน้ำใน Water Lilies (2007) ถึงเกาะห่างไกลผู้คนใน Portrait of a Lady on Fire (2019) ผลงานของเซลีน เซียมมา มักฉายชัดให้เห็นถึงปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวละครและสถานที่อันเป็นฉากหลังอยู่เสมอ เช่นเดียวกับ Petite Maman ผลงานล่าสุดของเธอที่ว่าด้วยเรื่องราวของเนลลี (โจเซฟีน ซองส์) เด็กสาววัยแปดขวบที่บังเอิญค้นพบเรื่องมหัศจรรย์ระหว่างที่เธอวิ่งเล่นสำรวจป่าลึกซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นสนามเด็กเล่นของแม่เธอด้วยเช่นกัน ช่วงหนึ่ง เนลลีอ้อนวอนให้คุณแม่พาเธอไปเยี่ยมชมกระท่อมไม้ที่แม่ของเธอสร้างไว้ตั้งแต่เมื่อครั้งยังอายุเท่าเธอ คุณแม่ปฏิเสธ ด้วยว่าการหวนกลับมายังบ้านเก่าของเธอครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ แต่เพื่อเก็บและขนย้ายข้าวของเครื่องใช้ของคุณยายผู้ล่วงลับ ออกไปจนกระทั่งบ้านคับแคบเหลือแต่เพียงความเวิ้งว้างว่างเปล่า และโดยไม่เร่งเร้า กระบวนการบรรจุความทรงจำลงใส่กล่องข้างต้น ก็ค่อย ๆ สะท้อนเรื่องเหลือเชื่อเหนือจริงที่เนลลีค้นพบในป่ากว้างใหญ่ ซึ่งทำงานไม่ต่างกับบรรจุภัณฑ์ทรงสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก ในการโอบอุ้มเรื่องราวความหลังเอาไว้อย่างมากมาย

พูดอีกอย่าง นอกจากสถานที่ หนังยังว่าด้วยปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และเวลา แต่การเดินทางของเวลาใน Petite Maman หาได้เคลื่อนตัวอย่างเป็นเส้นตรง กลับกัน มันเดินทางเป็นวงกลมโดยมีเศษเสี้ยวความทรงจำที่หล่นหายเรี่ยรายอยู่ตามทาง หรือในอีกแง่หนึ่ง ‘เวลา’ ใน Petite Maman ก็ดูจะวางตั้งโดยไร้ขอบเขตที่แน่ชัด ยากที่จะบอกโดยจะแจ้งว่าเหตุการณ์ทั้งหลายที่หนังบอกเล่าอย่างค่อยเป็นค่อยไปนั้นเกิดขึ้น ณ ช่วงเวลาใดในหน้าปฏิทิน เรื่องราวที่เราได้พบเห็นผ่านสายตาของเนลลี อาจเกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนในช่วงเวลาที่โลกกำลังระส่ำระสายจากความสูญเสีย หรือเกิดขึ้นในช่วงสิบหรือยี่สิบปีก่อนหน้าเมื่อพิจารณาจากข้าวของเครื่องใช้ในบ้านคุณยาย ซึ่งในอีกความหมายหนึ่ง ความเลื่อนลอยทางกาลเวลานี้ เมื่อผนวกรวมกับเรื่องราวการเดินทางข้ามเวลาของเนลลี ก็ดูจะมอบสถานะความเป็นหนังไซไฟให้กับ Petite Maman ไปโดยปริยาย แต่จนแล้วจนรอด ความสามารถในการเล่าเรื่องยุ่งยากให้เรียบง่ายของคนทำหนัง ก็ได้ปลดเปลื้องความหนักอึ้งทางหลักวิทยาศาสตร์และความจำเป็นในการใช้เทคโนโลยีชั้นสูง จนเรื่องราวที่ดูสลับซับซ้อนกลายเป็นเรื่องเล่าที่เปี่ยมไปด้วยความเป็นธรรมชาติอย่างงดงาม

และเมื่อเนลลีได้พบกับมาริยง (แกบรีเญล ซองส์ ฝาแฝดของโจเซฟีน) เด็กหญิงร่างเสมือนของเธอที่อาศัยอยู่ในบ้านที่โครงสร้างเหมือนบ้านของคุณยายเธออย่างไม่มีผิดเพี้ยน ต่างแต่เพียงข้าวของที่ยังสดใหม่ มีชีวิตชีวา และถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ตรงกันข้ามกับบ้านคุณยายที่จวนเจียนจะเหลือแต่เพียงความว่างเปล่าเต็มทน นั่นคือตอนที่หนังเปิดเผยว่าแท้จริงแล้ว เรื่องราวใน Petite Maman ไม่ได้สิ้นสุดแค่เพียงการจัดเก็บความทรงจำลงในกล่อง แต่รวมถึงการมุดสำรวจเข้าไปยังกล่องนั้นผ่านสายตาอันใสซื่อบริสุทธิ์ของเด็ก ๆ ภาพจากกล้องของแคลร์ มาธงมักจับจ้องตัวละครอย่างใกล้ชิด หลายครั้งที่เราคนดูถูกเชื้อเชิญให้นั่งจ้องมองเนลลีและมาริยงในระดับสายตา ตอกย้ำความมุ่งหมายของคนทำหนังที่ต้องการให้เราคนดูหลุดหายเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในโลกของตัวละคร กลับไปเป็นเด็ก แทนที่จะเป็นนักสังเกตการณ์อยู่ห่าง ๆ

หลายครั้งที่หนังซึ่งว่าด้วยเรื่องราวของการก้าวข้ามผ่านวัยมักชี้ชัดให้เห็นถึงช่องว่างระหว่างเด็กและผู้ใหญ่ ทว่าในผลงานของเซลีน เซียมมา อดีต-ปัจจุบัน โลกจริง-โลกเสมือน ถูกถักทอสอดประสานจนกลายเป็นผ้าผืนเดียวกัน นั่นคือตอนที่ระยะห่างระหว่างวัยซึ่งคั่นกลางระหว่างคนทั้งสามเจนเนอเรชัน (คุณยาย คุณแม่ และเนลลี) ถูกย่นยอจนกระทั่งบรรจบพบกันอย่างแนบชิด บางทีนั่นอาจจะเป็นตอนที่ Petite Maman ประสบความสำเร็จในการทำงานทั้งในระนาบของเรื่องเหลือเชื่อเหนือจริง และเรื่องราวขนาดย่อมเยาว์ที่ว่าด้วยการกระชับความสัมพันธ์ผ่านการปะติดปะต่อความทรงจำ อย่างตอนที่เนลลีหยิบภาพที่คุณแม่วาดเมื่อครั้งวัยเด็กมาพินิจพิเคราะห์ หรือตอนที่คุณพ่อหยิบยื่นของเล่นชิ้นเก่าของคุณแม่ให้เธอไปเล่นฆ่าเวลา อย่างช้า ๆ ปฏิสัมพันธ์กับเศษซากความทรงจำเหล่านี้ค่อย ๆ เสริมเติมเต็มรูโหว่ระหว่างเนลลีและแม่ของเธอ ในทำนองเดียวกับที่เธอออกพายเรือเล็กไปสำรวจโลกกว้างกับมาริยงวัยเด็ก เป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปที่พ่อแม่มักมองเห็นลูก ๆ ในฐานะภาพสะท้อนวัยเด็กของตัวเอง ทว่าหากจะมีอะไรสักอย่างหนึ่งที่ Petite Maman พยายามจะบอกกับดู คงเป็นการที่เด็ก ๆ ก็มองเห็นพ่อแม่ในฐานะเงาสะท้อนของพวกเขาเช่นกัน

Grade: A-

Directed by Céline Sciamma
Written by Céline Sciamma
Produced by Bénédicte Couvreur
Starring Joséphine Sanz, Gabrielle Sanz, Stéphane Varupenne, Nina Meurisse, Margo Abascal
Cinematography by Claire Mathon
Edited by Julien Lacheray

Tomboy (2011) กาลครั้งหนึ่ง เคยเป็นตัวเอง

ว่าไปแล้วเสน่ห์อย่างหนึ่งใน Tomboy ของซีลีน เซียมมา ก็ละม้ายคล้ายกับ Portrait of a Lady on Fire (2019) ในแง่ที่มันเป็นการพาคนดูเข้าไปเฝ้าสังเกตการณ์เรื่องราวซึ่งเกิดขึ้นอย่างจำเพาะเจาะจง ณ ช่วงเวลาและสถานที่หนึ่ง ๆ และอาจพูดได้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่มักถูกลบเลือนหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะด้วยเพราะมันเกิดขึ้นอย่างผิดที่ ผิดเวลา หรือทั้งสองข้อผสมปนเปกัน ข้อแตกต่างก็คงอยู่ที่ในคราวของ Tomboy มันไม่ได้เป็นผลพวงจากการไขลานย้อนเวลากลับไปยังอดีตกาล ในวันที่ความรักร่วมเพศยังเป็นเรื่องต้องห้าม แต่เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน หนังไม่เพียงเผยให้เห็นความสัมพันธ์อันใสซื่อบริสุทธิ์ระหว่างเด็ก ๆ แต่รวมถึงระหว่างเด็กและผู้ใหญ่ ตลอดจนความผันแปรอย่างลื่นไหลของร่างกายและจิตใจ สัมผัสอันแผ่วเบาและเป็นธรรมชาติของคนทำหนังในการถ่ายทอดประสบการณ์อันเฉพาะเจาะจงที่เกิดขึ้นกับเด็กคนหนึ่ง ทำให้คนดู ซึ่งถึงแม้จะก้าวพ้นช่วงวัยดังกล่าวมาเนิ่นนาน สามารถรู้สึกราวกับได้ย้อนเวลากลับไปสำรวจความทรงจำของตัวเอง หรือกล่าวโดยสั้น กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง

ส่วนที่ชาญฉลาดมาก ๆ คือการที่คนทำหนังเลือกใช้ชื่อหนังว่า Tomboy มันไม่เพียงเปิดโปงว่า มิเกล (โซอี เออร็อง) เด็กชายที่เราคนดูพบเห็นในตอนต้น แท้จริงแล้วเป็นเด็กหญิง ลูกสาวคนโตของครอบครัว แต่ยังเป็นการทำให้แน่ใจว่าอัตลักษณ์ตัวตนของเธอจะไม่ถูกใช้เป็นเพียงเครื่องมือสำหรับส่งมอบสุนทรียะทางภาพยนตร์ ในการกระตุกเร้าความตะลึงงันของคนดู เรื่องราวของมิเกลซึ่งเกิดขึ้นในช่วงซัมเมอร์ปิดภาคเรียน ในตอนที่เขาย้ายตามครอบครัวมาลงหลักปักฐาน ณ เขตชนบทห่างไกลความวุ่นวาย แง่หนึ่งก็ทำงานเชิงสัญลักษณ์ในทำนองเดียวกับหมู่เกาะเงียบงันใน Portrait of a Lady on Fire และเป็นที่นี้เองที่เขาได้พบกับลิซ่า (ฌาน ดีส์ซง) เด็กหญิงหนึ่งเดียวในบรรดากลุ่มเด็กซนของชุมชน “นายไม่เหมือนกับเด็กคนอื่น ๆ” เธอกล่าวกับเขาอย่างมีพิรุธในช่วงหนึ่ง อาจเป็นการบอกใบ้เป็นนัยว่าเธอรู้ (หรือไม่ก็ไม่รู้) ตัวตนที่แท้จริงของเขา ซึ่งก็คงไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญ ก่อนที่หนังจะค่อย ๆ เผยให้เห็นภาพที่มิเกลพยายามเข้าไปหลอมรวมกับเด็กชายคนอื่น ๆ ตั้งแต่เตะฟุตบอล ว่ายน้ำ เล่นต่อสู้ รวมถึงเลียนแบบกิริยาท่าทางที่เด็กผู้ชายชอบทำกันอย่างการถ่มน้ำลายเวลาเล่นฟุตบอล

หนังของเซลีน เซียมมา มักฉายภาพให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนและพื้นที่อยู่เสมอ อย่างในกรณีของสระว่ายน้ำใน Water Lilies ที่กลายมาเป็นบ่อเกิดของความสัมพันธ์ หรือย่านชานเมืองของกรุงปารีส อันเป็นชุมชนของวัยรุ่นผิวดำใน Girlhood ในแง่นั้น Tomboy เองก็ดูจะไม่ใช่ข้อยกเว้น หนังเผยให้เห็นภาพที่เด็ก ๆ วิ่งเล่นกันอย่างอิสระเสรีในพื้นที่ชุมชน นั่งจับกลุ่มคุยเจี้ยวแจ้วอยู่ตามซอกตึก ก่อนจะวิ่งแหวกไปตามป่าละเมาะ ทั้งหมดทั้งมวลเกิดขึ้นโดยไร้การแทรกแซงจากเงื้อมมือของผู้ใหญ่ พูดอีกอย่างหนึ่ง ความเฉพาะตัวของช่วงวัยแห่งการเรียนรู้ที่หนังเลือกเข้าไปจดจ่อ เมื่อปะทะเข้ากับมวลอากาศของฤดูร้อน ตลอดจนพื้นที่เปิดโล่งของชุมชนรอบนอก สอดประสานรวมตัวกันกลายเป็นช่วงเวลาอันแสนวิเศษที่เปิดโอกาสให้มิเกลได้เป็นในสิ่งที่เขาต้องการจะเป็น

แต่จนแล้วจนรอด มันก็นำไปสู่กำแพงบางอย่างที่ขวางกั้นระหว่างเขาและเด็กชายทั้งหลาย อย่างตอนที่พวกเด็กชายไปยืนยิงกระต่ายกันอยู่ข้างต้นไม้ มิเกลทำได้เพียงบิดกลั้นความปวดอยู่เบื้องหลัง โชคดีที่ความอึดอัดคับข้องดังกล่าวได้เปิดโอกาสให้เขาและลิซ่าค่อย ๆ เข้ามาสนิทแนบชิดกันยิ่งขึ้น แง่หนึ่งก็ตอกย้ำถึงการมีอยู่ของพันธะระหว่างมิเกลและลิซ่า ซึ่งไม่เพียงเกิดขึ้นบนระนาบของความรักลึกซึ้ง แต่รวมถึงมิตรภาพอันอ่อนหวานที่ไม่อาจหาได้ในหมู่เด็กผู้ชาย อีกข้อที่น่าสังเกต คือวิธีการที่คนทำหนังจ้องมองความสัมพันธ์ในครอบครัวของมิเกลโดยไม่มุ่งกล่าวโทษหรือตัดสิน เผยให้เป็นความเป็นครอบครัวที่ถึงแม้จะบกพร่อง แต่ก็แน่นแฟ้นและอบอุ่น ในทางหนึ่งก็เปรียบเสมือนการลบภาพจำกลาย ๆ ว่าการที่เด็กคนหนึ่งเลือกจะมีอัตลักษณ์ทางเพศที่ลื่นไหล หาได้เป็นผลพวงจากความผุกร่อนของสถาบันครอบครัว

ฉากสั้น ๆ ที่ถึงแม้จะดูหละหลวมไปจากพล็อตเรื่องราว ทว่างดงามดีจริง ๆ (และถูกใช้เป็นรูปปกสำหรับบทรีวิวนี้) เกิดขึ้นในตอนที่มิเกลนั่งเป็นเป้านิ่งให้ฌานน์ (มาลอนน์ เลอวานา) น้องสาวของเขา วาดรูปเขาลงบนกระดาษ รูปวาดนั้น ถึงแม้จะไม่สมจริงหรือสวยงามเทียบเท่ารูปที่มาริยานน์วาดเอโลอิสใน Portrait of a Lady on Fire แต่ก็ทำงานเชิงสัญลักษณ์ได้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า มันเปรียบได้กับความพยายามของสองพี่น้องในการบันทึกรูปลักษณ์ตัวตนของมิเกลเอาไว้ อาจเพราะมันเป็นตัวตนที่พวกเขาและเราคนดูต่างรู้ว่าเมื่อเสียงระฆังดังขึ้นและฤดูร้อนสิ้นสุดลง มิเกลก็ไม่ต่างกับซินเดอร์เรลลาที่ต้องระเห็จกลับไปเป็นคนรับใช้ เมื่อเขาจำต้องกลับออกไปสู่โลกแห่งความเป็นจริง ไปเข้าโรงเรียนที่อนุญาติให้เขาเป็นได้เพียงเด็กผู้หญิงอีกครั้ง ว่าไปแล้วการที่หนังเลือกจะโฟกัสจับจ้องไปยังช่วงเวลาฤดูร้อนดังกล่าว โดยไม่ล่วงล้ำไปยังอดีตหรืออนาคตของมิเกล ไม่สนใจว่าเขาหรือเธอจะเคยสวมบทบาทมิเกลมาก่อนหรือไม่ หรือในอนาคตจะมีอัตลักษณ์เป็นอย่างไร สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อนนี้ก็ย่อมทิ้งร่องรอยหลักฐานชั้นดี ว่ากาลครั้งหนึ่งเธอเคยเป็นมิเกล ถึงแม้ว่ามันจะเป็นช่วงเวลาอันแสนสั้นก็ตาม


Grade: A-

Directed by Céline Sciamma
Screenplay by Céline Sciamma
Produced by Bénédicte Couvreur
Starring Zoé Héran, Malonn Lévana, Sophie Cattani, Mathieu Demy, Jeanne Disson
Cinematography by Crystel Fournier
Edited by Julien Lacheray
Music by Para One