Tag Archives: Denis Villeneuve

Dune (2021) แห้งแล้งไร้ชีวิต ยิ่งกว่าทะเลทราย

ย้อนเวลาไปเมื่อครั้งที่สองเมสโตรของโลกภาพยนตร์อย่าง อเลฮันโดร โยโดรอฟสกี และเดวิด ลินช์ ล้มเหลวกับภารกิจให้กำเนิดชีวิตแก่เจ้าหนอนทะเลทรายขนาดยักษ์ในโปรเจ็กต์ดัดแปลงนิยาย Dune ของแฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต มาเป็นภาพยนตร์ ซึ่งโยโดรอฟสกีเชื่ออย่างหนักแน่นว่าหนทางเดียวที่จะทำได้สำเร็จลุล่วง คือมันต้องมีความยาวอย่างน้อย 10-14 ชั่วโมง ซึ่งไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายอะไรที่ข้อเสนออันสุดโต่งนี้จะถูกบรรดาสตูดิโอยักษ์ใหญ่ของฮอลลีวู้ดปฏิเสธกันไปอย่างพร้อมเพรียง จนกระทั่งเผือกร้อนตกมาถึงมือเดวิด ลินช์ ผู้ซึ่งให้กำเนิดหนังที่ไม่เพียงแต่ย่อส่วนวรรณกรรมของเฮอร์เบิร์ตจนหลงเหลือแต่เพียงรอยยับยู่ยี่ แต่ถึงขั้นยอมศิโรราบให้แก่ระเบียบวิถีของหนังฮอลลีวู้ดจนสไตล์อันเหนือจริงของเขาไม่อาจทำงานได้อย่างถนัดถนี่

ในแง่นั้น ความพยายามครั้งใหม่ของเดอนีส์ วิลเนิว์ฟก็ดูจะเป็นอะไรที่อยู่ก้ำกึ่งระหว่างความแข็งข้ออย่างไม่ออมมือของโยโดรอฟสกีและความโอนอ่อนผ่อนตามของลินช์ แต่คำถามที่สำคัญกว่าว่ามันจะสำเร็จลุล่วงหรือไม่ คือ วิลเนิว์ฟจะหาจุดดุลยภาพระหว่างความคาดหวังจากสตูดิโอและการคงไว้ซึ่งอิสระในการสร้างสรรค์ผลงานของศิลปินคนทำหนังได้หรือไม่ อย่างไร? ไร้ข้อโต้แย้งว่า Dune ฉบับของเดอนีส์ วิลเนิว์ฟก้าวข้ามฉบับของลินน์ในแง่การบันทึกและถ่ายทอดภัยอันตรายที่หลบซ่อนอยู่ใต้ผืนทรายอันร้อนระอุ อาจพูดได้อย่างไม่เคอะเขินว่าคู่ควรที่จะถูกเปรียบเทียบกัน Lawrence of Arabia (1962) ของเดวิด ลีน แต่ก็นั่นแหละ เป็นที่รู้กันว่าการดัดแปลงรายละเอียดทางกายภาพ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และระบบนิเวศน์ อารยธรรมทั้งที่สืบสานและถูกแปรสภาพจนกลายเป็นอื่น ตลอดจนการเมือง ความขัดแย้งระหว่างตระกูลซึ่งตั้งอยู่บนการช่วงชิงอาณานิคม ซึ่งล้วนก่อรูปอย่างสลับซับซ้อนอยู่ในนิยายของเฮอร์เบิร์ตนั้นไม่ง่าย และเห็นได้ชัดว่าวิลเนิร์ฟพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะสาธยายชุดข้อมูลอันยุ่งเหยิงดังกล่าวอย่างชัดค่อยชัดคำและเป็นเส้นตรงที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้

เรื่องน่าถกเถียงที่ยังไม่ถูกตั้งคำถามเท่าที่ควรคือวัตถุดิบของหนังซึ่งวางตั้งอยู่บนมโนคติของเจ้าอาณานิคมในฐานะ ‘ผู้ล่า’ ซึ่งมองกลุ่มคนต่างชาติพันธุ์ ไม่ใช่ในฐานะมนุษย์ที่มีอารยะ แต่นอกรีต ลึกลับ และต้องการความช่วยเหลือนั้นสามารถนำมาบิดสำรวจให้มีความร่วมสมัยได้จริงหรือ เพราะถ้าว่ากันตามความจริงที่ปรากฏ หลักใหญ่ใจความของ Dune ว่าด้วยเรื่องราวของพอล (ทิโมธี ชาลาเมต์) บุตรชายของตระกูลอะเทรดีสซึ่งปกครองดาวเคราะห์คาลาดาน เรื่องเกิดขึ้นเมื่อพวกเขาได้รับคำสั่งจำจักรพรรดิให้ไปประจำการ ณ ดาวอาราคิส ดวงดาวที่เป็นแหล่งผลิตสไปซ์ (แหล่งพลังงานที่จำเป็นอย่างยิ่งยวดต่อการเดินทางข้ามอวกาศ) ซึ่งเดิมทีถูกปกครองโดยตระกูลฮาร์โคเนนมากว่า 80 ปี แต่ส่วนที่สลักสำคัญจริง ๆ คือเรื่องราวของเหล่า ‘เฟรเมน’ คนนอกรีตในอาราคิส ซึ่งมีตำนานความเชื่อฝังหัวของพวกเขาว่าวันหนึ่งจะมีคนขาวผู้สูงส่งมาปลดเปลื้องพวกเขาจากชีวิตอันขัดสนท่ามกลางทะเลทรายอันแห้งแล้งแห่งนี้

อีกส่วนที่น่าหนักใจคือการที่พอล ไม่ได้เป็น ‘ผู้ที่ถูกเลือก’ ในแบบที่เราคนดูจะสามารถเอาใจช่วยหรือร่วมหัวจมท้ายไปกับเขาได้โดยง่าย เขาไม่ได้มีความเป็นมนุษย์ที่พ่ายแพ้ให้กับรัก โลภ โกรธ หลง แบบอนาคิน สกายวอล์คเกอร์ (หรือแม้แต่เค ใน Blade Runner 2049) แต่ใจแข็งเป็นหินชนิดที่ถึงแม้จะสูญเสียคนรักคนสำคัญก็ยังสามารถทำหน้านิ่งได้อย่างไม่รู้สึกรู้สา (ฉากหนึ่งที่พอจะอธิบายเรื่องนี้ได้คือตอนที่พอลถูกทดสอบความเป็นมนุษย์โดยแม่มดนางหนึ่งในตอนต้นเรื่อง หนังฉายภาพให้เห็นว่าพอลสามารถทนทานความเจ็บปวดได้เหนือกว่าคนปกติ ซึ่งนำไปสู่บทสรุปอันง่ายดายว่าเขาคือ ‘ไควซาสต์ ฮาเดอร์แรค’ หรือผู้ที่ถูกเลือก) แต่การจะกล่าวอย่างผิวเผินว่าขาดความเป็นมนุษย์ที่จับต้องได้นั่นก็เรื่องหนึ่ง แต่สิ่งที่ขาดหายไปใน Dune ซึ่งเคยเด่นชัดใน Arrival และ Blade Runner 2049 คือการที่หนังไม่เขินอายที่จะชวนคนดูตั้งคำถามถึงความหมายอันลึกซึ้งของการมีชีวิตอยู่ พูดกันตรง ๆ มันไม่มีคำถามอะไรเกิดขึ้นจากการรับชม Dune เพราะหนังไม่ได้ตั้งคำถามอะไร และให้ถึงที่สุดคือ ไม่แม้กระทั่งมอบบทสรุปที่เป็นชิ้นเป็นอัน

ว่ากันแบบรวบยอด นอกจาก Dune จะว่าด้วยความขัดแย้งทางผลประโยชน์ระหว่างตระกูลอะเทรดีสและฮาร์โคเนน (และอาจแผ่ขยายไปถึงจักรพรรดิซึ่งหนังชี้ให้เห็นว่าเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง) มันยังว่าด้วยเรื่องราวของการ ‘ปลดแอก’ คนท้องถิ่นซึ่งถูกเจ้าอาณานิคมเหล่านี้กดขี่ เมื่อกล่าวเช่นนั้นแล้วก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายอีกเช่นกันที่ Dune ของวิลเนิว์ฟจะลงเอยด้วยการถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน (สวดภาวนาว่าเราจะมีโอกาสได้ดูภาคต่อ) ซึ่งหากไม่นับว่ามันจำเป็นที่จะต้องยืดเยื้อเพื่อคงไว้ซึ่งรายละเอียดปลีกย่อยทั้งหลายทั้งมวล การที่หนังไม่สามารถจบครบสมบูรณ์ได้ด้วยตัวมันเองนั้นดูจะส่งผลต่อโครงสร้างและจังหวะการเดินเรื่องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หนังใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการปูพื้นความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครมากหน้าหลายตา (ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะหลงเหลือความสำคัญในภาคต่อไปอีกเท่าไร) หล่อเลี้ยงความสนใจของคนดูด้วยฉากระทึกขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่ได้มีผลต่อเส้นเรื่องมากนักอย่างการปรากฏตัวของ ‘หนอนยักษ์’ หลายครั้งหลายคราที่ทำให้ผู้คนต้องหนีกันชุลมุนวุ่นวาย ทว่าเมื่อถึงจุดที่ Dune จะต้องตอบแทนความอดทนของคนดูอย่างสาสม วิลเนิว์ฟก็กลับทำได้เพียงเขียนให้ ชานี (เซนเดย์อา) หันมาบอกกับคนดูด้วยน้ำเสียงเชิงปลอบประโลมว่า “นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น”

Grade: B

Directed by Denis Villeneuve
Screenplay by Jon Spaihts, Denis Villeneuve, Eric Roth
Produced by Denis Villeneuve, Mary Parent, Cale Boyter, Joe Caracciolo Jr.
Starring Timothée Chalamet, Rebecca Ferguson, Oscar Isaac, Josh Brolin, Stellan Skarsgård, Dave Bautista, Stephen McKinley Henderson, Zendaya, Chang Chen, Sharon Duncan-Brewster, Charlotte Rampling, Jason Momoa, Javier Bardem
Cinematography by Greig FraserEdited by Joe Walker
Music by Hans Zimmer