
แด่ภาพยนตร์ ชีวิต และญี่ปุ่น
อยากแนะนำให้คอหนัง โดยเฉพาะใครที่ชื่นชอบหนังของโนบุฮิโกะ โอบายาชิ รีบดู Labyrinth of Cinema ซึ่งกำลังจะออกจาก Mubi สิ้นเดือนนี้ นี่เป็นผลงานชิ้นสุดท้ายของศิลปินคนทำหนังที่มีสไตล์จำเพาะที่สุดคนหนึ่งของญี่ปุ่น หลังจากสร้างชื่อจาก Housu (1977) ที่ยังคงสถานะหนังคัลต์คลาสสิกมาจวบจนปัจจุบัน ผลงานของโอบายาชิมักโคจรวนรอบอยู่กับเรื่องราวของการต่อต้านความรุนแรงของสงคราม อย่างเร็ว ๆ นี้ เขาก็เพิ่งสำเร็จลุล่วงกับไตรภาค ‘War Trilogy’ (Casting Blossoms to the Sky, Seven Weeks และ Hanagatami) ผลงานสุดท้ายของโอบายาชิ (เขาเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อปีที่แล้ว) ยังคงวนเวียนอยู่กับเรื่องราวดังกล่าว ทว่าคราวนี้ มันอบอวลไปด้วยมวลหมอกของความอาลัยอาวร เปรียบได้กับการเป็นทั้งจดหมายรักและจดหมายร่ำลาศาสตร์ภาพยนตร์ที่เขาหลงใหลคลั่งใคล้ และถึงประเทศญี่ปุ่นซึ่งเขาหวงแหน ผ่านศาสตร์และศิลป์ที่ทำงานร่วมกันอย่างคล่องแคล่วจนบรรลุผลในการลบเลือนเส้นกั้นระหว่างอดีต-ปัจจุบัน ตลอดจนจินตนาการเพ้อฝัน-ความเป็นจริง จนยากที่จะชี้ขาดว่าส่วนไหนคืออะไร

ส่วนที่ต้องตักเตือนเอาไว้ก่อนสำหรับใครที่อาจไม่คุ้นเคยกับรสอาหารของโอบายาชิ คืองานของเขานั้นนิยามอย่างไม่อ้อมค้อมได้ว่านั่งอยู่เป็นขั้วตรงข้ามกับสไตล์หนังแบบเรียลลิสม์ โอบายาชิไม่ยี่หระต่อการถูกปรามาสว่าบกพร่องในการนำเสนอความจริงในรูปแบบที่สมจริง กลับกัน ศาสตร์ภาพยนตร์ของเขาคือการบิดพริ้วเอาประสบการณ์ เรื่องราว ความทรงจำ มาสอดประสานเข้ากับความเหลือเชื่อเหนือจริง อย่างใน Labyrinth of Cinema ซึ่งเรื่องราวเกิดขึ้นใน โอโนะมิจิ, ฮิโรชิม่า เมืองบ้านเกิดของเขาเอง หนังว่าด้วยตัวละครชายหนุ่มสามคน มาริโอะ (ทาคุโระ อัตสึกิ) ชิเกรุ (โยชิฮิโกะ โฮโซดะ) และ โฮสุเกะ (ทากะฮิโตะ โฮโซยามาดะ) ที่เข้าไปรับชมภาพยนตร์รอบสุดท้ายของโรงหนังท้องถิ่นเก่าแก่ที่กำลังจะปิดตัว เรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นเมื่อพวกเขาถูกดูดกลืนเข้าไปอยู่ในหนัง ซึ่งทั้งหมดเป็นหนังสงครามที่ไล่เรียงมาตั้งแต่หนังซามูไรในช่วงคริสต์ทศวรรศที่ 1860 ไปจนจุดสิ้นสุดเมื่อระเบิดปรมณูกระทบฝั่งฮิโรชิมะในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
ขยายความให้แจ้งชัดขึ้นอีกนิด สิ่งที่คลุมเครือคือเอาเข้าจริงพวกเขาหาได้ถึงกับ ‘หลุดหาย’ เข้าไปอยู่ในหนัง แต่ดูจะเป็นการ ‘จมดิ่ง’ ไปสู่หนังในห้วงคำนึงของพวกเขาเองเสียมากกว่า เพราะภาพที่เกิดขึ้นจากมนต์คาถาของโอบายาชิคือการที่หนังเผยให้เห็นทั้งภาพที่ตัวละครเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์กับตัวละครในหนัง ตัดสลับกับอีกคัตหนึ่ง ซึ่งเผยให้เห็นภาพที่พวกเขายังนั่งแน่นิ่งด้วยสายตาที่ตรึงติดอยู่กับจอภาพในโรงภาพยนตร์ที่แออัดไปด้วยผู้คน ส่วนที่น่าปรบมือให้จริง ๆ คือมันเป็นลูกไม้ง่าย ๆ ที่ตอกย้ำเราคนดูถึงสถานะสื่อกลางของภาพยนตร์ที่ทำหน้าที่มอบประสบการณ์ร่วมให้แก่ผู้คนมากหน้าหลายตาพร้อม ๆ กันได้อย่างสมจริง ในระดับที่ศิลปะแขนงอื่นไม่สามารถทำได้ หนังเผยให้เห็นภาพที่พวกเขาทั้งสามเข้าไปทำหลากหลายภารกิจในการช่วยชีวิตโนริโกะ (เรย์ โยชิดะ) เด็กสาวที่่รับบทบาทเป็นเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายในสมรภูมิสงครามครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เรื่องน่างุ่นง่านสำหรับใครก็ตามที่ไม่คุ้นเคยกับประวัติศาสตร์ท้องถิ่นของญี่ปุ่นคือการที่เรื่องราวของหนังเข้าไปเกี่ยวพันรันตูอย่างไม่อ้อมค้อมกับสงครามโบชินไปจนถึงสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สอง (รวมถึงประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ผ่านการปรากฏตัวในฐานะแขกรับเชิญของครูหนังอย่างยาซูจิโร โอสุ, ยามานากะ ซาดะโอะ, จอห์น ฟอร์ด และฉากคารวะสแตนลีย์ คูบริค)

ส่วนที่พอจะให้คำมั่นสัญญาได้คือความยุ่งเหยิงทั้งจากเนื้อหาที่สลับซับซ้อนและวิธีการบอกเล่าที่ไม่ประนีประนอม จะค่อย ๆ คลี่คลายเมื่อเรื่องราวดำเนินสู่ครึ่งหลังของเรื่อง โดยเฉพาะในช่วงประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่สองที่นักดูหนังน่าจะคุ้นเคยเป็นอย่างดี คำถามที่จะต้องเกิดขึ้นจนได้ คือท้ายที่สุดแล้วเรื่องราวเหล่านี้นำไปสู่สิ่งใด และเป้าประสงค์แท้จริงที่แอบซ่อนอยู่ใต้ความพยายามของโอบายาชิที่จะพาคนดูนั่งไทม์แมชีนย้อนเวลาไปสำรวจประวัติศาสตร์ของความสูญเสียเหล่านี้คืออะไรกันแน่ อาจสรุปแบบตื้นเขินได้ว่าการเดินทางของมาริโอะ ชิเกรุ และโฮสุเกะ แง่หนึ่งก็เปรียบได้กับการแกะเปิดผ้าก๊อซเพื่อสำรวจว่าบาดแผลที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเวลาหนึ่งยังคงส่งกลิ่นเหม็นหรือแห้งกรักกลายเป็นแผลเป็นที่ยังคงเห็นเด่นชัดไปเสียแล้ว

มันคงไม่ใช่การพื้นฝอยหาตะเข็บ เพราะความหมายสำคัญอันทรงคุณค่าที่ Labyrinth of Cinema ทิ้งไว้ให้แก่คนดู คือ หน้าที่ของเราในฐานะลูกหลานของวีรบุรุษผู้เสียสละที่จะต้องปกปักษ์รักษาไว้ซึ่งสันติภาพ แต่หากจะให้กล่าวอย่างถึงที่สุด เมื่อการผจญภัยของสามเกลอเดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดพร้อม ๆ กับอายุขัยของโรงหนังเล็ก ๆ แห่งนี้ที่จำต้องปิดตัวลง โอบายาชิดูจะเน้นย้ำว่าภาพยนตร์ไม่ใช่สวนสนุกที่มุ่งหมายเพียงมอบความบันเทิง แต่มีพลังเพียงพอที่จะช่วยสื่อสารให้คนเจนเนอเรชันหนึ่งรับรู้ เห็นภาพ และเข้าอกเข้าใ ประวัติศาสตร์บาดแผลที่ครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้น ใน Labyrinth of Cinema โอบายาชิเสนอว่าภาพยนตร์ไม่ใช่ซอฟต์พาวเวอร์ แต่เป็นพลังสำคัญที่สามารถเปลี่ยนแปลงสังคม ช่วงหนึ่งในตอนท้าย หนังบอกเล่าว่าจิตวิญญาณของโนริโกะ (เด็กสาวที่ตัวเอกพยายามจะช่วยชีวิต) สามารถถูกส่งผ่านมายังคนรุ่นหลังได้ มันบ่งชี้ว่าถึงแม้โรงหนังแห่งนี้จะปิดตัว แต่ ‘Cinema’ จะไม่ตาย หากเราคนรุ่นหลังช่วยกันดูแลรักษามัน
Grade: A
Directed by Nobuhiko Obayashi
Written by Nobuhiko Obayashi
Produced by Nobuhiko Obayashi
Starring Takuro Atsuki, Takahito Hosoyamada, Yoshihiko Hosoda, Rei Yoshida, Riko Narumi, Hirona Yamazaki, Takako Tokiwa
Edited by Nobuhiko Obayashi