
บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาภาพยนตร์
ภาพยนตร์ใช้ชุดคู่ภาษา ‘การก้าวพ้นวัย’ และ ‘การเปลี่ยนผ่านของยุคสมัย’ มาต่อเนื่องหลายทศวรรษ หรือกล่าวให้หยาบกร้านกว่านั้นก็คือ มันถูกใช้มาตลอดในหน้าประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ จะแตกต่างก็เพียงรูปร่าง สถานที่ และเวลา ตามแต่บริบทเรื่องราวของหนังแต่ละเรื่องจะกำหนดก็เท่านั้น ลองนึกถึงหนังอย่าง Jules and Jim (1962) ของฟร็องซัวส์ ทรูว์โฟต์ ที่เล่าถึงรักสามเส้าของคนหนุ่มสาวท่ามกลางการเริ่มต้นและสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง หรือ A Summer at Grandpa’s (1984) ของโหวเชี่ยวเสียนที่เล่าถึงช่วงเวลาปิดภาคเรียนฤดูร้อนที่สองพี่ชายน้องสาวได้หนีความวุ่นวายของเมืองหลวงไปใช้เวลาอยู่ ณ บ้านชนบทของคุณปู่ สถานที่ซึ่งพวกเขาจะได้สัมผัสกับความรักความสูญเสีย อันเป็นบททดสอบสำคัญของการเป็นผู้ใหญ่ หรือลองนึกถึงงานไม่นานมานี้อย่าง Ginger and Rosa (2012) ของแซลลี พอตเตอร์ ที่เล่าถึงการเติบโต การหักพังของมิตรภาพและครอบครัว ท่ามกลางการปะทุขึ้นของสงครามเย็น หรือกระทั่ง Eden (2014) ของมีอา แฮนเซน-เลิฟ ที่ปะติดปะต่อการเติบโตของตัวละครไว้กับการสิ้นสุดของวัฒนธรรมคลับใต้ดินและดนตรีแนวเทคโน
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘การเปลี่ยนผ่านของยุคสมัย’ ก็เป็นประเด็นสำคัญใน เธอกับฉันกับฉัน ของวรรณแวว-แวววรรณ หงษ์วิวัฒน์ ไม่เพียงเพราะหนังดำเนินเดินเรื่องอยู่ในปีค.ศ. 1999 อย่างจำเพาะเจาะจง หรือการที่หนังย้ำให้เห็นอยู่หลายครั้งหลายคราถึงความวิตกกังวลต่อ ‘วิกฤติ Y2K’ แต่รวมถึงการที่หนังฉายภาพให้เห็นพลวัต ความเปราะบางของสถาบันครอบครัวชนชั้นกลางไทยที่เกิดขึ้นหลังวิกฤติการเงินในปีพ.ศ. 2540 เช่นนั้นแล้วเราอาจกล่าวได้หรือไม่ว่ารอยแตกหักที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของฝาแฝดยูและมี (ใบปอ-ธิติยา จิระพรศิลป์) หาได้เป็นเรื่องของโชคชะตาหรือเวรกรรมแต่ชาติปางก่อน หาได้เป็นปัญหาระดับปัจเจก แต่เป็นชะตากรรมร่วมของหลายครอบครัวชนชั้นกลางกรุงเทพ เป็นเรื่องเล่ากระแสรองขนาดกระจ้อยร่อยของหลายครัวเรือนที่สามารถถักทอต่อกันเป็นผืนใหญ่ กลายเป็นประวัติศาสตร์บาดแผลของคนไทยในยุคสมัยหนึ่ง กล่าวอย่างสั้นที่สุดก็คือ เรื่องราวใน เธอกับฉันกับฉัน เป็นภาพแทนชะตาชีวิตของชนชั้นกลางกรุงเทพ นำเสนอเลือดเนื้อ อารมณ์ความรู้สึก ตลอดจนความคิด ความประหวั่นพรั่นพรึงในยุคสมัยของการเปลี่ยนผ่านให้เราสัมผัสจับต้องและร่วมรู้สึกได้ หนังของวรรณแววและแวววรรณจึงเป็นส่วนผสมที่อบอวลไปด้วยความสดใส ปั่นป่วน และตึงเครียด อันเป็นสิ่งที่ผู้คน ณ โมงยามแห่งการผันผ่านกำลังรู้สึกจริง ๆ

เราอาจติ๊ต่างได้หรือไม่ว่า คุณแม่ (กระแต-ศุภักษร) ของยูและมีก็น่าจะเป็นหนึ่งในแรงงานชนบทหลายหมื่นหลายแสนชีวิตที่แห่หนีความทุกข์ยากของชีวิตชนบทเข้ามาแสวงโชค(ตายเอาดาบหน้า)ในกรุงเทพหลังยุคเศรษฐกิจเฟื่องฟูในสมัยของน้าชาติ ก่อนจะต้องระเห็จกลับบ้านเกิด(เก่า)หลังเหตุการณ์ฟองสบู่แตก เมื่อพิจารณาเช่นนั้นแล้วเรื่องราวรักสามเส้าระหว่างยู มี และหมาก ก็แทบจะกลายเป็นอุปสรรคทำนองเดียวกันกับสภาวะบ้านแตกสาแหรกขาดในครอบครัวของสองฝาแฝด พูดอีกอย่างก็คือ เราสามารถมองได้ว่า หมาก (อันโทนี่ บุยเซอเรท์) คือตัวแทนของอุปสรรคที่เข้ามาสั่นคลอนความสัมพันธ์พี่น้องของยูและมี ในทำนองเดียวกับที่วิกฤติการเงินสั่นคลอนความมั่นคงของสถาบันครอบครัว หนังชี้ชัดให้เห็นว่าเส้นเรื่องทั้งสองส่วนนี้เกี่ยวกระหวัดร้อยรัดกันอยู่ตลอดทั้งเรื่อง หากพิจารณาว่าสิ่งที่นำพาให้ยูและมีได้หวนมาพบกับหมากอีกครั้ง หาได้เป็นเรื่องของบุพเพสันนิวาส แต่เป็นผลพวงจากการไหลกลับของแรงงานสู่ชนบทหลังความล้มเหลวของการตั้งหลักปักฐานในเมืองกรุง ความพยายามของยูที่จะหัดเล่นเครื่องดนตรีท้องถิ่นอย่างพิณ ก็เป็นสถานการณ์เทียบเคียงได้กับความพยายามที่จะกลับไปเชื่อมต่อกับรกรากทางวัฒนธรรมของครอบครัวเธออีกครั้ง และไม่มากก็น้อย สิ่งที่ดึงดูดให้สองฝาแฝดต่างสนใจในตัวของหมาก ก็อาจจะเป็นสถานะก้ำกึ่งระหว่างความเป็นคนชนบทและความเป็นอื่น (คนกรุงและคนต่างชาติ) นี้เอง อย่างที่เพื่อนโรงเรียนกรุงเทพชอบเรียกหมากว่า ‘หรั่ง’ และที่เด็ก ๆ ในชุมชนเรียกยูว่า ‘คนกรุงเทพ’

ความสับสนและการถูกบังคับให้ต้องเลือก เป็นอีกประเด็นที่ปรากฏให้เห็นอยู่ตลอดทั้งเรื่อง เช่นที่หมากต้องเลือกระหว่างยูหรือมี ขณะที่ยูและมีก็ต้องเลือกว่าจะเลือกหมากหรือแฝดของตน หนังชี้ให้เห็นว่าความสับสนและการจำต้องเลือกในระดับความสัมพันธ์นี้เองที่ค่อย ๆ ผลักดันให้ยูและมีเติบโตขึ้น นั่นคือตอนที่การเลือกในระดับมิตรภาพขยับขยายกลายเป็นการเลือกเส้นทางชีวิต ในวันที่ยูค้นพบว่าพ่อและแม่ของเธอกำลังหย่าร้าง พร้อม ๆ กับความจริงที่ว่าเธอและฝาแฝดอาจจะต้องแยกกันไปอยู่กับพ่อหรือแม่ นั่นคือตอนที่ฟองสบู่ของโลกวัยเด็กซึ่งกำลังโป่งพองได้ที่ถึงวันต้องแตกสลายไปในที่สุด เพราะมันถูกโลกแห่งความเป็นจริงของวัยผู้ใหญ่กระทบเข้าอย่างจัง ภาพน้ำตาไหลอาบแก้มของยูหลังจากทราบข่าวร้าย ชวนให้โศกสลดเสียใจอย่างที่สุด ไม่เพียงเพราะมันหมายถึงการที่สองฝาแฝดต้องแยกจากกัน แต่มันหมายถึงการสิ้นสุดของช่วงเวลาแห่งความไร้เดียงสาและความเป็นเด็กด้วย
ในอีกความหมายหนึ่ง หนังอาจกำลังบอกเราว่า การก้าวข้ามผ่านวัยของยูและมี ก็เปรียบได้กับการข้ามพ้นวิกฤติ Y2K ของผู้คน ณ ห้วงเวลานั้น เพราะในที่สุดแล้วเราก็จะได้พบกับความจริงว่าปัญหาโลกแตก (ทั้งในความหมายตรงตัวและเปรียบเปรย) เป็นเพียงเรื่องโกหกทั้งเพ หรือเรื่องขี้ปะติ๋วเท่านั้น ในทำนองเดียวกัน ทั้งยูและมีก็คงจะค้นพบในท้ายที่สุดว่าทั้งเรื่องของหมากและปัญหาครอบครัวที่ดูหนักอึ้งมาก ๆ ย่อมผ่านพ้นและกลายเป็นเพียงความทรงจำไว้ดูต่างหน้าเท่านั้น กล่าวอย่างถึงที่สุด เรื่องราวในพาร์ทครอบครัวของ เธอกับฉันกับฉัน ซึ่งดูราวกับจะเป็นเพียงเรื่องกระแสรองไม่ต่างกับเรื่องราวของหลายชีวิต หลายครอบครัวที่ตกหล่น แตกหัก หรือกระทั่งสูญหายท่ามกลางวิฤติการณ์การเงิน ได้กลายมาเป็นกระแสหลักของเรื่องเล่าและปมสำคัญของเรื่องที่จะเป็นบันไดขั้นสำคัญต่อการเติบโตพ้นวัยของตัวละคร สาระสำคัญที่ซ่อนอยู่ในหนังของวรรณแวว-แวววรรณน่าจะอยู่ตรงนี้เอง ยูและมีเติบโตขึ้นมิใช่เพราะพวกเธอค้นพบว่าโลกไม่ได้แตกหลังปีค.ศ. 2000 แต่คือการที่พวกเธอได้เรียนรู้ว่า การที่ใครคนหนึ่งหายไปไม่ได้หมายความว่าเราจะสูญเสียพวกเขาไปอย่างถาวร เพราะนี่คือโลกที่เราต่างอ่อนกำลังเกินกว่าจะกำหนดได้ว่าจะรักษาใครไว้ในชีวิตบ้าง และบางทีการแยกย้ายไปตามเส้นทางของตัวเองก็คือส่วนหนึ่ง หากมิใช่ส่วนสำคัญ ของการเติบโต
เธอกับฉันกับฉัน กำลังเข้าฉายในโรงภาพยนตร์