Tag Archives: Tsai Ming-liang

Days | กรุงเทพ เมืองแห่งการพานพบและพลัดพราก

ถึงแม้โดยเนื้อแท้แล้ว Days ผลงานล่าสุดของไฉ้หมิงเลี่ยงที่เพิ่งฉายไปในงานเทศกาลหนังสารคดีไต้หวันครั้งล่าสุด จะว่าด้วยเรื่องราวของความเสื่อมสลายทางกายภาพ โดยเฉพาะของหลี่คังเซิงที่กำลังป่วยไข้จากอาการปวดกล้ามเนื้อต้นคอ (ชวนให้นึกถึงเรื่องราวใน The River ที่เขากำลังประสบกับอาการเดียวกัน และตอกย้ำความเป็นจักรวาลหนังของไฉ้หมิงเลี่ยงอยู่กลาย ๆ) แต่ในอีกด้านหนึ่ง หนังยังฉายภาพให้เห็นกรุงเทพที่ไม่ได้ทำงานเป็นเพียงฉากหลังของหนัง แต่เรียกได้ว่าเป็นอีกตัวละครหนึ่ง เป็นสถานที่ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้คนหลากหลายชนชั้น ฐานะ กระทั่งเชื้อชาติ เข้ามาพบปะซ้อนทับกัน ณ ช่วงเวลาหนึ่ง และหากโชคดีพอ มันอาจก่อให้เกิดความสัมพันธ์อันมีรูปแบบที่จำเพาะเจาะจง ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงชั่วข้ามคืนก็ตาม

ในแง่นั้น ช็อตหนึ่งใน Days ที่ดูจะบันทึกสถานะความเป็นเมืองแห่งการพานพบและพลัดพรากของกรุงเทพได้แจ่มชัดดีจริง ๆ (และเป็นช็อตที่กลายมาเป็นภาพโปรโมตของหนัง) เกิดขึ้นหลังจากที่ตัวละครทั้งสองเสร็จกิจในห้องโรงแรม ด้วยภาพที่สองชายหนุ่มกำลังนั่งรับประทานก๋วยเตี๋ยวในร้านข้างทาง หนังจดจ้องไปยังอากัปกิริยาของสองหนุ่มที่ต่างฝ่ายต่างก้มหน้าก้มตาเคี้ยวกลืนอาหารในถ้วยชามของตนเอง ไม่เปิดเผยว่าพวกเขาคุยอะไร หรือคิดอะไร ความเงียบงันระหว่างทั้งคู่ถูกแทรกแทนด้วยภาพผู้คนเดินขวักไขว่ไปมาและเสียงรถราที่เคลื่อนผ่านอย่างไม่มีทีท่าว่าจะเงียบลง โดยปริยายมันตอกย้ำถึงความฉาบฉวยและช่องว่างของความสัมพันธ์ระหว่างชายหนุ่มทั้งสอง คนหนึ่งต้องการผ่อนคลายความเจ็บปวด คนหนึ่งต้องการเงินสำหรับประทังชีวิต คนหนึ่งเป็นคนไต้หวัน คนหนึ่งเป็นคนลาว คนหนึ่งมากอายุ คนหนึ่งรุ่นราวคราวลูก แต่กระนั้น โชคชะตาก็นำพาให้คนทั้งสองได้มาพบกัน ณ เมืองแห่งนี้ พูดได้ว่าการพบปะกันระหว่างทั้งคู่ซึ่งตั้งอยู่บนหลักของการซื้อขายแลกเปลี่ยน ทำให้หลี่คังเซิงได้ผ่อนคลายความเจ็บปวด ขณะที่ชายหนุ่มก็รอดพ้นจากความหิวโหยไปอีกคืนหนึ่ง โดยปริยาย ช่วงเวลาดังกล่าว ณ ร้านก๋วยเตี๋ยวจึงกลายเป็นการประวิงเวลาสำหรับการจากลาที่พวกเขาทั้งสองไม่อยากให้เกิดขึ้น แต่ก็รู้อยู่เต็มอกว่าไม่ว่าอย่างไรมันก็จะต้องมาถึงในที่สุด

พูดอีกอย่าง มันเป็นช่วงเวลาที่ช่องว่างระหว่างความฉาบฉวยและความเงียบงันถูกแทนที่ด้วยมวลสารอะไรบางอย่างที่กำลังก่อตัวระหว่างทั้งคู่ ใครเคยสัมผัสกรุงเทพก็คงรู้สึกไม่ต่างกันว่ากรุงเทพไม่ได้ครองสถานะความเป็น ‘โรแมนติก ซิตี้’ เหมือนกรุงปารีส หรือโรม แต่กระนั้น การที่สายตาคนนอกของไฉ้หมิงเลี่ยงสามารถมองทะลุผ่านความแออัดคับคั่งและสกปรกโสมมของกรุงเทพ เข้าไปเห็นความสวยงาม ความเจ็บปวด อ้างว่าง โดดเดี่ยว และโหยหา โดยเฉพาะจากคนต่างถิ่นสองคนที่เข้ามาโอบกอดและเยียวยาซึ่งกันและกันในเพียงช่วงเวลาหนึ่ง (ทั้งในเชิงอุปมาอุปไมยและเท็จจริงตามที่ปรากฏ) ณ สถานที่ที่พวกเขาไม่รู้จักคุ้นเคย ก็นับได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวง มันเป็นสายตาอันแปลกปลอมทว่าเป็นธรรมชาติ และช่างสังเกตสังกา จนสามารถมองเห็นในสิ่งที่สายตาคนในอย่างเรา ๆ อาจมองข้ามไปได้อย่างง่ายดาย